ผลกระทบของการวิพากษ์วิจารณ์คณะสงฆ์ วารสารอยู่ในบุญประจำเดือน มีนาคม พ.ศ.2558 หน้า 102
หน้าที่ 102 / 144

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบจากการรับรู้สื่อทางลบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ที่อาจทำให้เกิดวิบากกรรม การแนะนำนิสัยการฝึกอบรมของพระภิกษุ แนวคิดการทำดีที่สุดในการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และการเคลื่อนไหวของจิตใจที่ต้องมีสติในการรับข้อมูลเหล่านี้ อธิบายถึงวิธีการที่พระภิกษุสามารถยกระดับตนเองให้เป็นที่เลื่อมใสของสาธุชน โดยเน้นความสำคัญของการปฏิบัติตามหลักการและการอบรมตามแนวทางของพระพุทธเจ้า.

หัวข้อประเด็น

-ผลกระทบจากสื่อในทางลบ
-การรับรู้และสติในการวิพากษ์
-การอบรมของพระสงฆ์
-ความสำคัญของพระธรรมวินัย

ข้อความต้นฉบับในหน้า

คนที่ได้ชมสื่อในทางลบของคณะสงฆ์แล้วว่าต่าง ๆ นานา จะมีวิบากกรรมอย่างไรบ้าง? อันนี้น่ากลัวมาก เวลาเกิดเหตุการณ์นี้ บางทิวายดูเหมือนว่าจะจริง แต่อาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่เรายังไม่รู้ สื่อเน้นเสนอตรามหมดหรือเปล่า เราไม่ทราบ ดีที่สุดอยู่เอาไปสมใจ ถ้าผลโรงแล้วมันไม่จริงขึ้นมา เราแบนวิบากรรมไปเพียงเลย และถึงแม้ว่าจริงก็ตาม การกล่าวคำดำเนินเดียวกันอย่างไรก็เป็นวิจัยจริง เวลาเจอกันทำไม่ดีแล้วเราไปดำเนา พอฉิบ จิตเราเศร้าหมองเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้กรอกเว้นว่า ถ้าผิดทำดีได้ เพราะฉะนั้นเพียงแต่รู้รับทราบ แล้วทำใจให้นิ่ง ๆ กลาง ๆ อย่าไปสมใจด้วยเด็ดขาด ไม่คุ้ม คุณยายอาจารย์ฯ เวลาท่านจะแนะนำพระเณร ท่านยังบอกก่อนว่า “สาธุ ขออย่ายายบานนะ” ท่านบอกว่าพระมีศีล ๒๒๕ ข้อ ฐาณิดโยม มีศีล ๔ ข้อนึ่ง ๆ น้อยกว่าพระตั้งเยอะ ท่านถือว่าเพศสมณะเป็นของสูง การจะวิพากษ์วิจารณ์อันตรายมาก เหมือนจงยุทธ์ที่เขียน เสี่ยงมาก ๆ ดีที่สุดอย่าไปสมโรงด้วย แม้นโม่น่าเชื่อถือมาก แม้ความคิดก็ให้พยายามทำใจนิ่ง ๆ กลาง ๆ ความคิดก็เป็นโนรมอยู่หนี่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นน่ากลัวจะรับสื่อทาลบแล้วจะก็ ต้องตั้งสติ ๆ ให้ใจเราของใจจริง ๆ รับรู้รับทราบ แต่ถ่าเอาอารมณ์ร่วมรวมใส่เข้าไป อย่าร่วมภาพจารณ์ อย่าร่วมพิมพ์ comment ผมโรงดำเข้าไป อันตราย พระภิกษุจะทำตัวอย่างไรให้เป็นที่เลื่อมใสรถาของสาธุชน? วิธีที่สุดคือทามตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ ภิกษ์ที่วชิใหม่ ๕ พรรษแรก เรียกว่า “นวกะ” อยู่เดียว ๆ ยังไม่ได้ จะต้องถือนิสัย คือ อยู่กับอุปชานอาจารย์ให้ท่านช่วยฝึกอบรม พอผ่าน ๓ ปี เรียกว่า “มาชิม” พอครบ ๑๐ ปี ถึงจะเป็นพระเถร ครบ ๒ ปีเป็นพระมหาเถร พระองค์ทรงวางหลักการไว้เพราะทรงรู้ว่ากาแก่นิสัยไม่ใช่ของง่าย ศัพท์ทางพระมีการพูดกันว่า กว่าจะให้มวลมินต์ต้องใช้เวลา เพิ่งบวกมาแค่ ๓ ปี ปี บางทีเรื่องราวสมัยเป็นคุฬลังกะตั้งตามมาจนปัจจุบันอยู่ สมัยเดิม ๆ สมัยเป็นราวสังทั้งไม่ขาด เพราะฉะนั้น ๕ ปี แรกประมานไม่ได้ อยู่เดื้อยงไม่ได้ ต้องอยู่กับครูอาจารย์ ให้ท่านกล่อมกลานนิสัย เรียกว่า ถือลิสัย ถ้าตั้งใจฝึกเป็นลำดับมาตลอด ๒๐ ปี พอใช้ได้ แต่ถ้าอยู่ถึง ๒๐ ปี ไม่ได้ฝึกตัวเองก็ยังไม่ได้นะ ถ้า ฝึกตามแนวพระพุทธเจ้าจะได้ผลดี คือเมื่บวกแล้วต้องมีกระฝึกอบรม แต่ไม่ใช่ว่าใจจะดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บางครั้งพุทธจายังมีพระธ ทรงบีพระองค์อยู่และทรงวางหลักเงื่อนไขอย่างดี อบรมบ่มนิสัยอย่างดี พระอรหันต์เต็มแผ่นดินเป็นพันเป็นแสนรูป ก็ยังมีพระที่ไปทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วมีเสียงโจษจันนิทา จนทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มขึ้นนั่นละขอ ๆ แม้พรวบคณะสงฆ์แต่ไม่ใช่ว่าเต็มพร้อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พระสงฆ์เต็มมีกี่พันบ้างบ้าน พอมาเป็นรูปครองผ้าเหลืองแล้วกลายเป็นผู้วิเศษ ดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More