ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 201
๖๑
ภัตตานุโมทนากถา ๔
(การให้พร)
๑๖ มกราคม ๒๔๙๘
นโม...
โภชน์ ภิกฺขเว ททมาโน...
“ทานนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงพุทธศาสนาไว้ ถ้าปราศจากทานการให้แล้ว ศาสนาก็ไม่มีเครื่อง
หล่อเลี้ยง ทรงอยู่ไม่ได้ ต้องแตกสลายไป ดับไป หายไป” โลกจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ก็เพราะ “ทาน”
การให้ในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้วางเป็นตำราไว้ว่า
“ทาน” แปลว่าให้ความสุขซึ่งกันและกัน ลักษณะการให้ความสุข เช่น เดิมบิดามารดาให้
ความสุขแก่บุตรธิดาจนเจริญวัย เมื่อท่านแก่ชราบุตรธิดามีหน้าที่ให้อาหารและรางวัลแก่ท่านเช่นกัน
ส่วนผู้ครองเรือนก็ให้ซึ่งกันและกัน ภิกษุ สามเณรออกจากเรือน อุบาสกอุบาสิกาก็มีหน้าที่
สงเคราะห์ท่าน
โภชน์ ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้ซึ่งโภชนาหาร
เรียกว่าให้ฐานะ ๕ ประการ แก่ปฏิคาหก
ฐานะ ๕ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ
เช่น เมื่อภิกษุสามเณรได้บริโภคอิ่ม ก็มีอายุยืนได้อีก ๗ วัน เจ้าของทานจึงได้อายุ
ร่างกายสดชื่น ผ่องใส คือ วรรณะ มีความสุข มีกำลังและมีปัญญา
เจ้าของทานได้ฐานะ ๕ ประการ ตั้งแต่เกิดจนตาย คือ
๑.
เป็นเหตุให้อายุยืนในชาตินี้ ไม่ตายในปฐมวัย และอยู่จนสิ้นอายุขัย
๒. ผิวพรรณผุดผ่องเสมอ
๓. มีความสุขกายและใจ ในอิริยาบถทั้งสี่ ไม่เศร้าหมองขุ่นมัว
๔. มีกำลัง
๕. เฉลียวฉลาด
เมื่อพระภิกษุสามเณรได้รับทาน แล้วก็ทำภัตตานุโมทนาคาถา คือ ให้พรแก่เจ้าของทาน
สพพีติโย ฯ ขออันตรายทั้งปวงจงบำราศไป
ขอโรคทั้งปวงจงหาย
ขออันตรายอย่ามีแก่ท่านเลย
ขอท่านจงเป็นผู้อยู่เป็นสุขเถิด ฯ