ข้อความต้นฉบับในหน้า
8 สาระสำคัญพระธรรมเทศนา
ว่า ผลที่ต้องได้รับทุกข์ คือ ต้องโทษนั้น เนื่องมาจากโจรกรรม แท้จริงเหตุเท่านั้นไม่พอ เพราะโลภ
เป็นมูลเหตุ แต่ก็ยังไม่พอ ต้องสาวไปว่าทำไมโลภจึงครอบงำเขาได้ ก็เพราะใจเขาสกปรก ทำไมใจเขา
สกปรก เพราะเขาไม่ประพฤติตามโอวาทของพระบรมศาสดาที่ให้รักษาศีล อาจเพราะไม่ได้อ่าน หรือ
ฟังธรรม เป็นต้น
พระองค์ทรงสอนไว้ละเอียด ให้รู้ถึงเหตุผล ว่าผลเกิดจากเหตุใด ทรงมีแนวสอนให้ปฏิบัติเพื่อ
ละเหตุให้เกิดทุกข์ บำเพ็ญเหตุให้เกิดสุข ตลอดจนวิถีทางดับเหตุทั้งปวง เรียกว่า “นิโรธ
มูลรากฝ่ายเกิดหรือสมุทัย คือ อวิชชา
ในทางดับ หรือ นิโรธ คือ ดับอวิชชา
อวิชชาจึงเหมือนต้นไฟ ดับตัวเดียวจะดับได้หมด
คำสอนของพระองค์จึงอยู่ที่ว่า ให้ผู้ปฏิบัติหาทางกำจัดอวิชชาเสีย จึงจะพ้นจากวัฏฏสงสาร
พระอุทานอันเป็นบุคคลาธิษฐานสั้น ๆ มีว่า
“ท่านนายช่างไม้ คือ ตัณหา เราเจอตัวท่านแล้ว ท่านหมดโอกาสที่จะมา
สร้างปราสาท คือ อัตตภาพร่างกายเราแล้ว กระดูกซี่โครงท่าน คือ กิเลส เราหัก
กรอบหมดแล้ว ยอดปราสาท คือ อวิชชา เราก็รื้อทำลายหมดแล้ว จิตของเรา
ปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เราถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว”
๓. วิชชาจรณสมฺปนฺโน
แปลว่า พระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
ก. วิชชา หมายถึง ความรู้ที่กำจัดมืดเสีย
“มืด” หมายเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ ๕)
“วิชชา” ความรู้ ตรงข้ามกับ “อวิชชา” คือ ไม่รู้
เมื่อมี “อวิชชา” ก็ไม่รู้ถูกหรือผิด ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของ สังขาร ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท
และอริยสัจ ๔ เพราะมีอุปาทาน (ยึดมั่น) ขันธ์ ๕ ให้มืด ไปนิพพานไม่ได้
ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ได้ ก็พ้นจากภพไม่ได้ ต้องมืดมนเวียนว่ายตายเกิดในกามภพ รูปภพ
อรูปภพ เป็นพวกมืด รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ที่มืดหนัก
วิชชา แบ่งเป็น ๓ คือ
๓.๑ วิปัสสนาวิชชา
๓.๒ มโนมยิทธิวิชชา
๓.๓ อิทธิวิธีวิชชา
ถ้ารวมอภิญญาด้วยเป็น ๘ คือ
๓.๔ ทิพพจักขุวิชชา
๓.๕ ทิพพโสตวิชชา
๓.๖ ปรจิตตวิชชา (เจโตปริยญาณ)
๓.๗ ปุพเพนิวาสานุสสติวิชชา
๓.๘ อาสวักขยวิชชา