ข้อความต้นฉบับในหน้า
ได้
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 13
ธรรมที่พระองค์ตรัสสอน ได้ชื่อว่า “สวากขาตธรรม” มีอริยมรรคเป็นต้น
พระสัทธรรม แบ่งเป็น ๓ หมวด คือ
ปริยัติธรรม ได้แก่ คำสั่งสอนอันเป็นแนวทางไปสู่ปฏิบัติ
ปฏิบัติธรรม ได้แก่ คำสอนที่บ่งวิธีการปฏิบัติโดยตรง มีผลส่งให้ถึงปฏิเวธ
ปฏิเวธธรรม ได้แก่ การรู้แจ้งแทงตลอดสภาวะความเป็นจริง ทั้งหมด
๒. สนฺทิฏฐิโก
แปลว่า คำสอนของพระองค์นั้น ผู้ใดปฏิบัติตามผู้นั้นจะเห็นผลได้ด้วยตนเอง เห็นแทนกันไม่
๓. อกาลิโก
ผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นย่อมได้รับผลเสมอโดยไม่มีจำกัดเวลาว่ามีเขตเพียงนั้นเพียงนี้
๔. เอหิปสฺสิโก
เพราะเหตุว่าเป็นของดี ของจริง เมื่อผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว จึงเป็นเสมือนสิ่งที่น่าจะเรียก บอก
คนอื่นมาดูว่า นี่ดีจริงอย่างนี้
๕. โอปนยิโก
เมื่อดีจริงก็ควรน้อมนำของดีจริงที่พบแล้วเข้ามาไว้ในตน คือยิ่งถือปฏิบัติเรื่อยไปไม่ละวางเสีย
5. ปจฺจตฺต์ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ
ธรรมนั้นถึงรู้ได้เฉพาะด้วยตนเอง คล้ายข้อ ๒ แต่ข้อนี้เน้นอาการรู้ คือ ผู้ปฏิบัติตามธรรม
จะรู้ว่าธรรมดีจริง และได้ผลเป็นอย่างไร เกิดจากการปฏิบัติของตนเอง ด้วยใจของตนเอง เป็นรสทางใจ
ที่แม้เยือกเย็นเป็นสุขปานใด ก็เล่าให้ใจเราเป็นอย่างเขาไม่ได้
พระสังฆคุณ
สาวกตามความหมายในบทสังฆคุณ กล่าวเฉพาะอริยสาวกเท่านั้น
สาวกของพระองค์ มี ๒ จำพวก
๑.
ปุถุชนสาวก ได้แก่ ปุถุชนผู้ที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย แต่ยังไม่ได้บรรลุธรรม
๒. อริยสาวก แปลว่า สาวกผู้ประเสริฐ
คือ สาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว เป็นชั้นอริยะ หรืออริยสาวก จัดเป็น ๔ คู่ ตามลำดับ
ธรรมที่บรรลุ
๑.
โสดาปัตติมรรค และ โสดาปัตติผล
๒. สกิทาคามิมรรค และ สกิทาคามิผล
๓. อนาคามิมรรค และ อนาคามิผล
๔. อรหัตมรรค และ อรหัตผล
ถ้าจัดเป็นรายบุคคล ได้เป็นอริยบุคคล ๘ หรือพระอริยสาวก 4