ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๑. สมาส
ความหมาย
สาโกฏ จ อุตฺโต อ สมาเจติ สมาโล (โดย ปฏิโต) อ. เนื้อความแห่งคำว่า อันทะนอมอ๋อ โดยเนื้อความดังนี้เพระเหตุนี้นะ (ส) ปฏิโต อ. เนื้อความแห่งนั้น ชื่อว่า สมาสๅ แปลว่า อันทะน่อโดยศัพท์และความหมายเข้ากัน (ส) อะสํ+อํ+สิทิ สมาส จิหมายถึง การย่อมตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไปเข้าเป็นบทเดียวกัน
คำสมาส ในหลักภาษาไทย คือการย่อคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปเข้าเป็นคำศัพท์เดียวกัน มีความหมายต่างจากเดิม เช่น คำว่า "แม่" หมายถึง ผู้หญิงที่ให้กำเนิดบุตร "น้ำ" หมายถึง ของเหลวสิ่งเป็นสารร่างผสมจากธาตุไดโครเจนและออกซิเจนในอัตราส่วน ๑ : ๙ โดยน้ำหนักเมื่อสามสรวม ๒ คำเข้าด้วยกันเป็น "แม่น้ำ" เกิดความหมายใหม่ หมายถึง ลำธารใหญ่ ซึ่งเป็นที่รวบของลำธารทั้งปวง จะเห็นได้ว่า "แม่น้ำ" ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงที่ให้กำเนิดบุตร และไม่ใช่หมายถึงของเหลวอันประกอบจากธาตุไดโครเจนและออกซิเดชิน แต่ "แม่น้ำ" กลับหมายถึงสายธารลำธาร ลักษณะการย่อคำศัพท์อย่างนี้ คือ คำสมาสในหลักภาษาไทย ในทางบาปลักษณะเช่นนี้คือลักษณะ
ความแตกต่างระหว่างสมาสกับสนธิ
สมาส คือ การย่อส่วนตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไป เข้ากันเป็นคำเดียวกัน บททั้ง ๒ ที่อยู่เข้ามานั้น สำเร็จเป็นสิ่งเดียวกันนั้น ราชปฺโฏ แยกออกเป็น ราช กับ ปฏิ โต คือ พระราชามพระโอรส เมื่อเข้าเป็นสมสมแล้ว เหลือเพียงความหมายว่าพระโอรสเท่านั้น ถ้าไม่ความหมายเป็นสิ่งเดียวกันก็จะมีอรอรหรือหน้าที่สม่าน โดยความเป็นคำศัพท์เดียวกัน เช่น มฬาดิ โป ค า หมายถึง มงราเดะและเดิ่ม่า ได้ไม่กล่าวหมายเอาเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้น สมาสจึงเป็นการสร้างคำใหม่โดยการนำบตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไปมาร่วมกัน เกิดความหมายใหม่ เช่น กุนฺโณ สุบโณ มีความหมายเป็น ดํา และ ๆ เมื่ออยู่กันเป็นกุนฺโณ ได้ความหมายใหม่ เป็นดํ่า (มูเทา) หรือ ว่า ชินาโล ไมออสะลืนแล้ว แยกเป็น ๒ บท คือ ชินา และ อาสา เมื่อสมาสเข้าเป็นบทเดียวกันเป็น ชินาสโล หมายถึงภูมิที่มุดอาระเภละสะแดงแล้ว ไม่ได้หมายถึงกรมธิปรีนในและอาสะที่ลื่นไป บางสั้นนั้น ท่านให้ดูวิถีของบทที่เข้ามา (บางคำก็ไม่ดูวิถีบทหน้า ซึ่งมักอ้างว่าไม่ นักศึกษาพิพากษารับครูถูกโดยละเอียดจากคำรบครั้งโลยากรณ์นี้สูง)
สนธิ คือ การต่ออักขระให้เนื่องกันด้วยอักษร เช่น สระต่อกับสระ สระต่อกับพยัญชนะ เป็นต้น สนธิผิดที่แตกต่างจากสมาสคือ ไม่สามารถรวมความหมายที่เช่นกันนั้นให้เป็นคำเดียวกันตามความหมายเป็นสิ่งเดียว