ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมาธร วัตรสวรรค์วัตรวัดพระพุทธศาสนา
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมเล่มที่ 11) ปี 2563
พวกที่เห็นด้วยกับตนเอง แล้วแยกกลุ่มออกไปสร้างมุ่งสูงของ
ตนเองขึ้นโดยเอกเทศ ซึ่งในยุคสมัยที่พระศาสนามียันดำรงพระชนม์-
ชีพอยู่ ได้มีบทลงโทษหนักสำหรับผู้ที่วางแผนทำสงฆ์แตก ด้วยการ
ถูกจำกัดบริเวณ6
นักศึกษา: เท่าที่ฟังมาถึงตอนนี้ แสดงว่ามุ่งสูงใน “พระพุทธ-
ศาสนายคแงนิกาย” ต่างมีความคิดเห็นว่า นิกายของตนเท่านั้นเป็นนิกาย
ที่สืบทอดคำสอนมาจากพระศาสนา ดั่งนั้น จึงมองว่านิกายอื่นฯ
ที่ไม่ใช่นิกายของตนเป็นผู้ทำสงฆ์แตก ใช่ไหมครับ ?
อาจารย์: หากเป็นแต่เดิม คงจะเป็นเช่นนั้น และในความเป็นจริง
สภาพนี้น่าจะเกิดขึ้นกับบางส่วนในพระพุทธศาสนาที่ต่างฝ่าย
ต่างกล่าวหาว่ากันและกันว่า “สิ่งที่ท่านทำอยู่นั้นเป็นการทำสงฆ์แตก”
แต่ยากไรก็ไม่มีใครสามารถตัดสินลงไปอย่างเด็ดขาดว่า
เป็นการทำสงฆ์แตกจริงหรือไม่ ดังนั้น ด้วยสภาพดังกล่าว จึงเป็นเหตุ
6 ผู้แปล: การทำสงฆ์แตก คือ การทำให้มุ่งสูงแตกแยก เป็นการทำลาย
ความเป็นหนึ่งของพระพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นโทษร้ายแรงที่สอดประการหนึ่งใน
พระพุทธศาสนา โดยที่วางแผนหรือวางขอบเขตเพื่อทำสงฆ์แตกนี้จะต้องอ deity
สงฆ์เสด็จ ซึ่งเป็นอาบัติชนิดหนึ่งที่ลงมาจากอาบัติปรกติ และที่
กล่าวว่า “ผู้วุ่นวายเพื่อทำสงฆ์แตก” (สงฆสุก เฑาวาย ปรกเมย) จะต้องอาบิติ
สงฆ์เสด็จนี้ เป็นเพราะว่าบุคคลดังกล่าวถือว่าย่อมอยู่ในมุ่งสูง แต่สำหรับ
“ผู้ที่ลงมือทำสงฆ์แตกไปแล้ว” ถือว่าไม่ได้อยูในมุ่งสูงอีกต่อไป ดังนั้น จึงไม่มี
ความหมายที่จะปรบอาบัติในบุคคลดังกล่าวอีกแต่ต่อไป อธิบายเรื่อง
“สงฆ์แตก” นี้ยังได้ปรากฏในเรื่อง “อนันต์ริยกรรม” (กรรมกันในฝ่ายอุกคุล) ได้แก่
มาตุฎฏ (ฆามาตา) ปิตุฎฏ (ฆามิตา) อรหัตฏฏ (ฆามะอราหนต์) โล่เกี-
บาป (ทำนพระโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อขึ้น) และประกาศสุดท้าย คือ “สงฆ์แตก”