ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมสารวารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา
ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวบรวมที่ 11) ปี 2563
184
หมู่งมได้เข้าร่วมในการประชุมหรือทำสมาธิร่วมกัน แม้ว่าทั้งฝ่ายต่างยืนยันในจุดยืนของตนเองเกี่ยวกับอรรถาธิบายที่แตกต่างกัน ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำสมาธิเกี่ยวอะไร นี่คือยามความหมายที่เปลี่ยนแปลงไป
นักศึกษา : เป็นอย่างนี้เอง ไม่ใช่เป็นการทำให้แนวความคิดที่ว่า “สมมติเทพเป็นการกระทำที่ไม่ดี” หมดไป แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวความหมายที่ว่า “สมมติเทพคืออะไร” เพื่อเป็นการป้องกันการแตกแยกไม่ทราบว่ามีเอกสารหรือหลักฐานอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่เกิดขึ้นในสมียพระเจ้าเงโกลอยู่บ้างไหมครับ ?
อาจารย์ : ใน “มหาสงมกิณีปิฎก” ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าคัมภีร์หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ในหมงษ์ แม่จะมีผู้ที่ยืนยันการอรรถาธิบายที่แตกต่างไปจากพระศากยุนิมิตนี้เกิดขึ้นก่อนให้เกิดความขัดแย้งก็แต่องแตรบได้ง่ายอยู่ร่วมกัน ทำสมาธิร่วมกัน ย่อมไม่ถือว่าเป็นการทำสมาธิ แต่เมื่อใดแยกกันทำสังฆกรรม เมื่อนั้นย่อมเป็นการทำสมาธิ สำหรับยุคสมัยที่ “มหาสงมกิณีปิฎก” ถูกฉบับขึ้นนั้นยังไม่เป็นที่เด่นชัด แต่เนื้อหาใน “มหาสงมกิณีปิฎก” มีความสอดคล้องกับ “จาริกพระเจ้าโกลก” ด้วยเหตุนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า “มหาสงมกิณีปิฎก” ถูกฉบับขึ้นในสมียพระเจ้าโกลก ก็จะไม่ผิดอะไร (สำหรับหลักฐานที่ผู้เขียนคิดว่า “มหาสงมกิณีปิฎก” และ “จาริกพระเจ้าโกลก” เกิดขึ้นในยุคสมียเดียวกันนั้น สามารถศึกษา
10 「摩訶僧祇律」(makasogiritsu) เป็นคัมภีร์พระวินัยปิฎกของนิกายนิยมมหาสงมกิณี (摩訶僧祇部 makasogibu 或 大宗部 daishubu) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธศาสนายุคแยกนิยาม