ข้อความต้นฉบับในหน้า
รวมพระธรรมเทศนา ๓
- พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธ ม ม ชโย)
42
เข้าไปในป่าลึก พวกทหารไม่สามารถจะตามทัน คงมีแต่พระราชากับทีฆาวุ
เท่านั้น พระราชาทรงเหนื่อยล้า เมื่อหยุดรถแล้ว จึงบรรทมหลับบนตักของทีฆาวุ
ในขณะนั้น ทีฆาวุกุมารได้ระลึกถึงความแค้นในอดีตว่า “บ้านเมือง
ของเราได้ถูกพระราชานี้ยึดไป แม้มารดา บิดาของเรา ก็ถูกพระราชาองค์นี้
ฆ่า ถึงเวลาที่จะจัดการกับศัตรูแล้ว” จึงทรงชักพระขรรค์ออกจากฝัก หมาย
จะแทงพระราชา แต่ในขณะเดียวกัน ทรงระลึกถึงพระโอวาท ที่พระราชบิดา
ให้ไว้ก่อนสวรรคตว่า “อย่าเห็นแก่ยาว อย่า เห็นแก่สั้น” จึงไม่อยากละเมิด
คำของพระราชบิดา ได้สอดพระขรรค์เก็บเข้าที่เดิม
ครู่หนึ่ง ความคิดอาฆาตได้ผุดขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง พระกุมารก็ชัก
พระขรรค์ออกมาจะฆ่าอีก
แต่ครั้นระลึกถึงพระโอวาทของพระชนกก็ยับยั้ง
เอาไว้อีก ทำอย่างนี้อยู่จนถึง ๓ ครั้ง
๓
ในทันใดนั่นเอง พระเจ้าพรหมทัตได้ตื่นจากบรรทม ด้วยความ
หวาดผวา เสด็จลุกขึ้นอย่างผลุนผลัน ตรัสว่า ได้ทรงฝันเห็นทีฆาวุกุมารโอรส
ของพระเจ้าที่มีติประหารพระองค์ด้วยพระขรรค์ จึงตกพระทัยตื่นขึ้น
ทันใดนั้น ทีฆาวุได้จับพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัต แล้วเอาพระขรรค์
จ่อที่พระศอพร้อมกับประกาศว่า “เรานี่แหละ คือทีฆาวุกุมาร พระองค์ได้ทรง
ทำความพินาศให้แก่มารดาบิดาของเรา บัดนี้ถึงเวลาที่จะได้ชำระโทษแล้ว”
พระเจ้าพรหมทัตยิ่งตกพระทัยมากขึ้น ทรงหมอบลงแทบเท้าพระกุมาร
แล้วร้องขอชีวิต ทีฆาวุจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าถวายชีวิตแก่พระองค์ได้ แต่ขอให้
พระองค์ได้ประทานชีวิตแก่ข้าพเจ้าเช่นกัน”
พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงให้ชีวิตแก่เรา เราก็
จะให้ชีวิตแก่เจ้า” เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายให้ชีวิตแก่กันและกัน โดยจะไม่จองเวร
กันอีก แล้วเดินทางกลับเข้าสู่พระนคร
ครั้นเสด็จกลับเข้าไปถึงพระนคร ทรงมีรับสั่งให้ประชุมเสนามาตย์