ข้อความต้นฉบับในหน้า
ท่านทรงสอนต่อไปอีกว่า ผู้ไม่ประมาณในชีวิตควรมองให้เห็น “มรรคัลย์” คือความตายที่เข้ามาเยือนอยู่ทุกวินาที ว่าเป็นภัยใหญ่หลวงจะหลีกหนอย่างไร ก็หนีไม่พ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีบารมีเต็มเปี่ยมยังต้องดับขันธ์ปรินิพพาน ฉะนั้นจะกล่าวไปกับพวกเราคงธรรรมาดา ที่จะต้องเจอกับสัจจธรรมนี้เช่นกัน จึงควรระลึกว่า “อนิสา” คือเหยื่อล่อที่ทำให้หลงอยู่ในโลก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ทำให้เราเพลินอยู่ในโลก หาทางรอดพ้นจากมรณภัยไม่ได้ ทำให้เราประมาท หลทางพระนิพพาน
ดังนั้น ท่านจึงสอนให้ละอามสในโลกเสียดเลมุ่่งสู่สัมต คือคำให้ให้หยุดนิ่ง มุ่งเข้าไปสู่สันติสุขภายใน กาลของกลางเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่บรมสุข ความสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพาน ที่มีแต่สุขล้นๆ ไม่มีทุกข์เจ็บปวด ไม่มีความคิดเห็น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นชีวิตอันอมตะ
เวลาในโลกมนุษย์นี้มีจำกัด เราควรจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเราเอง และแก่เพื่อนร่วมโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเราเป็นยอดนักสร้างบารมี จะต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าต่อกาลเวลาที่สูญเสียไป เพราะเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี และยังสันติสุขให้บนฌงเกิดขึ้นแก่มวลมนุษชาติ
เราจะต้องใช้เวลาทุกวินาทีที่สร้างบารมีให้เต็มที่ ให้วันหนึ่งคืนหนึ่งผ่านไปพร้อมกับบุญกุศลที่เพิ่มขึ้น เวลาในโลกมนุษย์สั้นนิดเดียว เมื่อเทียบกับเวลาในสัมปรายภพแล้วต่างกันมาก เพราะชีวิตหลังความตายนี้ยาวนานเป็นแสนเป็นล้าน เป็นหลายๆ ล้านปี มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล
มีพทพิธาหานหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กับเหล่าทเทพบิดีอีก ๙๐๐ กำลังเก็บดอกไม้ เพื่อจะนำมาระดับให้มาลาการทพุทธ ในสวนนันทวัน ซึ่งเป็นทิพยอุทยาน ที่สวยงามมากของชาวสวรรค์ ในขณะที่เทพพิธากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเทิดดอกไม้ทิพย์อยู่นั้น ทันใดนั้นเองก็ได้ฤทธิ์ คิดตาย จากสวรรค์ลงมาเกิดในโลกมนุษย์
พอเกิดมาอายุได้ไม่กี่ขวบ นางก็สามารถระลึกชาติได้ดี เพราะสังสมบุญกุศลที่ผ่านมา เคยเป็นเทพอักษราอยู่สมรรถอร่ามด้วยขอ