ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 143
กายมนุษย์และกายอื่นๆ ล้วนมีตนมีธรรม อาศัยธรรมนี้เข้าไปในกายต่างๆ จนถึงกายธรรม
อันเป็นที่พึ่งสูงสุด พระองค์จึงตรัสว่า “ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่ง” “ธรรมนั่นแหละเป็นเกาะ”
เมื่อเข้าไปถึงกายต่างๆ กายนั้นก็คือตน ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายนั้น ก็คือ ธรรม ๘ กาย
แรกที่ ยังเป็นกายในภพเป็นตนโดยสมมุติ ธรรมจึงเป็นสมมุติเหมือนกัน แต่เมื่อเข้าถึงกายธรรม ตน
และธรรมก็เป็นโดยวิมุตติ ไม่ใช่สมมุติ จนกระทั่งเข้าถึงพระอรหัต นี้เป็นที่พึ่ง จะพึ่งสิ่งอื่นนอกจากตน
ที่ทำให้เป็นตนนี้ไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่า
อปปกา เต ฯ
ชนเหล่าใดมีปกติไปถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย
เพราะต้องเข้าถึงธรรมกายนี้ก่อนจึงจะไปได้ ถ้าถึงพระอรหัตก็ไปนิพพาน
ไม่ต้องกลับมาอีกเลย นอกนั้นมักเลาะชายฝั่งข้างภพนี้ “เหมือนวัดปากน้ำ
มีธรรมกายกันตั้ง ๑๕๐ กว่า ไปนิพพานได้ทั้งนั้น ไปแล้วกลับ ไปแล้ว
กลับมา มีน้อยนักที่มีปกติไปสู่นิพพาน มีน้อยนัก”
ผู้ปฏิบัติตามธรรมที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้ว จึงจะเดินไปตามทางมรรคผล ศีล สมาธิ ปัญญา
วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งเป็นเอกายนมรรค ล่วงเสียซึ่งวัฏฏะ อันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ ที่บุคคล
ข้ามได้ยากจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เมื่อเข้าใจหลักนี้ก็ให้แน่ใจว่า วัฏฏะ เป็นที่ตั้งของมัจจุ คือ ตัวกิเลส ถ้าเราไม่พ้นกิเลส ตราบ
นั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่รู้จบ หากพลาดพลั้งกิเลสบังคับให้เป็นไป
ก็ต้องได้รับทุกข์ทรมานในอบายภูมิ ๔
ให้เราเห็นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว แล้วเข้า
ถึง ตัว คือธรรมกายให้ได้ ธรรมกาย เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา