ข้อความต้นฉบับในหน้า
150 สาระสำคัญพระธรรมเทศนา
๔๕
สติปัฏฐานสูตร
๓ ตุลาคม ๒๔๙๗
นโม.....
อิธ ภิกขเว ภิกขุ กาเย.....
วาระพระบาลี แห่งมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย หรือ เครื่องตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ดังความว่า
กาเย กายานุปสฺสี ฯ
เวทนาสุ ฯ
จิตฺเต ฯ
ธมฺเมสุ ฯ
๑. เห็นกายในกาย
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน
รู้สึกตัวพร้อมอยู่เสมอ มีสติไม่เผลอ พึงกำจัดความดีใจเสียใจในโลก
เสียให้พินาศ
เห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ พึงกำจัดอภิชฌา โทมนัสในโลกเสีย
เห็นจิตในจิตเนืองๆ
เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ
เช่น กายมนุษย์ละเอียดซ้อนในกายมนุษย์ กายมนุษย์เมื่อนอนหลับฝันไป เพราะกายในกาย
นั้น มีกายอื่นอีก เรียก “กายมนุษย์ละเอียด” หน้าตาเหมือนมนุษย์คนที่นอนหลับ เป็นกายในกาย ที่
“เห็น” ได้นั้นอาศัยตามนุษย์ละเอียด (ยังมีกายอื่นเป็นชั้นๆ ไป)
“กายมนุษย์นี่แหละ เวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง
เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันทุกคน
รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ นุ่ง
ห่ม อย่างไร อากัปกิริยาเป็นอย่างไร สูงต่ำอย่างไร ข้าวของเป็นอย่างไร ก็
ปรากฏเป็น อย่างนั้น”
๒. เห็นเวทนาในเวทนา
กายในกายนั้นก็มีสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เช่น มนุษย์คนนี้ เห็นเวทนาเป็นดวง
เต็มส่วนเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ หรือโตได้เล็กได้ เวลาสุขก็ดวงใส ทุกข์ก็ดวงขุ่น ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดวง
ปานกลาง เป็นทุกข์ในทุกข์ของมนุษย์ หรือสุขในสุขของมนุษย์ จึงเรียกเวทนาในเวทนา
๓. เห็นจิตในจิต
ดวงจิตของมนุษย์นี้เท่าดวงตาดำข้างนอก อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ ตำรากล่าวไว้ต่างๆ ว่า “เนื้อ
หัวใจเป็นที่อยู่” “ใจเป็นปกติ” “ใจเป็นภวังคจิต” “จิตเป็นดังว่าน้ำ” “จิตนั้นแหละเป็นภวังคจิต” เวลาตก
ภวังค์แล้วใสเหมือนกับน้ำที่ใส