ข้อความต้นฉบับในหน้า
144 สาระสำคัญพระธรรมเทศนา
๔๓
ติลักขณาทิคาถา ๔
(ธรรมขาวธรรมดำ)
๗ สิงหาคม ๒๔๙๗
นโม.....
กณห์ ธมฺม์ วิปฺปหาย.....
บัณฑิตพึงละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ จะปฏิบัติให้ถูกต้อง ต้องขัดกาย วาจา ใจ ออกเป็นชั้นๆ
มีโลภะ โทสะ โมหะ
ฝ่ายธรรมดา
ฝ่ายธรรมขาว
กายมนุษย์ และ กายมนุษย์ละเอียด
มีอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
ทาน เมตตา สัมมาทิฏฐิ
กายทิพย์ ทั้งหยาบและละเอียด
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ไม่กําหนด ไม่ขัดเคือง
ไม่หลงงมงาย
ปฐมมรรค มรรคจิต
มรรคปัญญา
กายรูปพรหมทั้งหยาบและละเอียด
มีราคะ โทสะ โมหะ
กายอรูปพรหมทั้งหยาบและละอียด
มีกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
อีกนัยหนึ่งของธรรมขาวธรรมดำ
ซีกธรรมขาว เห็นดวงใสดุจกระจกคันฉ่อง คือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวง
สมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เห็นกายมนุษย์ละเอียด เข้ากลาง 5 ดวง จน
เข้าถึง กายต่างๆ ถึงกายอรหัตละเอียด
“ถ้าไม่เห็นดังนี้ อยู่ในซีกธรรมดำ เป็นธรรมของพญามาร เป็นบ่าวของ พญา
มารไป เขาบังคับใช้สอยเหมือนเด็กๆ เล็กๆ เหมือนทาสกรรมกร ไปอยู่ใน กำ
มือของมาร”
โอกา อโนกมากมุม ฯ เมื่อมีธรรมขาวเช่นนี้แล้ว อาศัยนิพพาน ไม่มีอาลัย ยินดีได้ด้วย
ยาก ในพระนิพพานอันสงัด ฯ
ธรรมนี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง ยากแก่การฟังการเทศน์ ต้องรู้จัก “อายตนะ” เสียก่อน
“โลกายตนะ” คือ อายตนะของโลก ดึงดูดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ชอบใจให้เราติดอยู่กับ
มัน ไม่หลุดเลย ทั้งหญิงชาย ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ได้แก่