ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 141
๔๒
ติลักขณาทิคาถา ๓
(ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว)
๑ สิงหาคม ๒๔๙๗
นโม.....
สัพเพ สังขารา อนิจจา......
ธรรมนี้เป็นธรรมชั้นสูง เป็นไปในทางปัญญา ไม่ใช่ศีลหรือสมาธิ เพราะแสดงความจริง คือ
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว เพื่อหนทางอันบริสุทธิ์ของพระอริยบุคคล
๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจจาติ ฯ
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
เมื่อใดบุคคลเห็นตามปัญญาว่าไม่เที่ยง
เมื่อนั้นก็จะเบื่อหน่ายในทุกข์
นี้หนทางหมดจดวิเศษข้อหนึ่ง
สังขารมีอะไรบ้าง ?
Q.
. ปุญญาภิสังขาร (สังขารที่บุญตกแต่ง) ได้แก่ มนุษย์แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล กาย
ทิพย์ในสวรรค์ 5 ชั้น รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔
๒. อปุญญาภิสังขาร (สังขารที่บาปตกแต่ง) ได้แก่ อบายภูมิ ๔ เปรต อสุรกาย เดียรัจฉาน
สัตว์นรก ๔๕๖ ขุม
๓. อเนญชาภิสังขาร (สังขารที่ไม่หวั่นไหว) อรูปสัตว์ อสัญญีสัตว์ ที่เป็นสังขารที่ไม่หวั่นไหว
ด้วยโลกธรรม บุญบาปตกแต่งไม่ได้ชั่วคราวหนึ่ง
ผู้ที่เป็นวิปัสสนาคามินีจึงเห็นว่า :
สังขารทั้งสามล้วนไม่เที่ยง แปรผันเป็นปกติ คือ มีเกิดขึ้น มีแก่และแตกสลาย เมื่อเห็นเช่นนี้
ใจของเราก็สลดไม่อยากเกี่ยวข้องกับสังขาร เมื่อใจไม่เกาะติด ใจก็ว่างจากสังขาร ใจว่างนั้นแหละ
เป็นหนทางบริสุทธิ์หมดจด เป็นทางไปของพระอริยบุคคล
๒. สัพเพ สังขารา ทุกชาติ ฯ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ฯ
เมื่อสังขารมีเกิดเป็นเบื้องต้น มีแก่เป็นท่ามกลาง มีตายเป็นอวสาน ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น เทวดา
หรือมนุษย์ ไม่มีใครสุขจริง สุขชั่วคราวแล้วทุกข์อีก เมื่อเห็นจริงเช่นนี้ก็ไม่ติดด้วยสังขาร รู้เห็นจริง
เช่นนี้ ก็เป็นทางไปของพระพุทธเจ้า
สังขารที่เป็นไปในภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หรือ เป็นไปในวัฏฏะทั้ง ๓ คือ กรรม
วัฏฏ กิเลสวัฏฏ วิปากวัฏฏ เมื่อเป็นสังขารแล้ว จะได้เป็นสุขเป็นไม่มี ย่อมเป็นทุกข์ทั้งสิ้น