ข้อความต้นฉบับในหน้า
ศาสนา-ประเพณี วัฒนธรรม
อีกพวกสติมีเหมือนกันแต่มีแบบอ่อนๆ เพราะไม่เคยทำสมาธิ
สวดมนต์ เคยแต่ไหว้พระ แม้มีสติอ่อนๆ อย่างนี้ก็ตาม พอรู้ตัวว่าจะ
ตายแน่แล้วเขาจะพยายามทำใจให้ผูกติดอยู่กับพระ ด้วยวิธีใช้เครื่อง
ชักนำง่ายๆ คือเขาเรียกคนที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาสั่งว่า “ลูกเอ๊ย....น้องเอ๊ย
พี่เอ๊ย...ช่วยจัดดอกไม้ธูปเทียนให้หน่อย จะขอไหว้ขอบูชาพระเป็นครั้ง
สุดท้าย”
พอได้ดอกไม้ ธูปเทียนมา เขาก็เอาใจจรดนิ่งที่เครื่องบูชา
สวดมนต์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขาดใจตายละโลกไป ตายอย่างนี้เรียก
ว่าตายแบบมีสติ พอตายไปแล้วก็ไปสู่ที่ดีๆ อย่างน้อยก็ไปเป็นเทวดา
ทีนี้ในปัจจุบัน เวลาคนทั่วๆ ไปจะตาย ส่วนมากไม่ค่อยมีสติ
เห็นมีสติกันน้อยรายเต็มที่ พอขาดใจตายไป ญาติที่อยู่ข้างตัวอยากให้
ไปดี ก็เลยเอาดอกไม้ธูปเทียนยัดใส่มือให้
ที่คุณหนูถามว่าใส่ให้ทำไม ก็ตอบว่าให้ไปไหว้พระ แต่โธ่เอ๋ย!
ขนาดมีชีวิตอยู่เขายังไม่อยากไหว้พระเลย ตายแล้วไปไหว้พระไม่ได้
แน่นอน จะเอาอะไรใส่มือใส่ปากให้ไป เขาก็เอาไปไม่ได้ ทำไปก็แค่นั้น
แหละ คนตายเอาดอกไม้ในมือไปด้วยไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้น พวกเราอย่ารอเวลาว่าใกล้ตายค่อยไหว้พระ
เลยนะ ไหว้กันตอนยังแข็งแรงอยู่นี่แหละ พยายามฝึกสมาธิ
เข้าถึงองค์พระในตัวให้ได้ พอใกล้ตายก็ไม่ต้องไปเรียกหาใคร ยิ่งพวก
ที่ชอบคร่ำครวญรำพัน ยิ่งต้องให้ออกไปให้หมด แล้วนั่งสมาธิหรือนอน
ทำสมาธิให้เห็นองค์พระใสแจ๋ว ตายก็ตายไป ทำอย่างนี้ไปดีแน่ ไม่
ต้องมีดอกไม้อย่างเขาก็ได้ ถ้าเราทำสมาธิเป็นแล้ว
โยมยายของหลวงพ่อเมื่อใกล้ตาย เนื่องจากท่านให้ทานรักษา
ศีลเป็นประจำ และชอบสวดมนต์มาก แต่ทำสมาธิไม่เป็น ใกล้ตาย
ห ล ว ง พ่ อ
ตอบ ปั ญ ห า