ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทนํา
เป็นที่ทราบกันดีว่า “สมาธิ” เป็นสมบัติทางภูมิปัญญาของซีกโลกตะวันออก เชื่อกันว่าเริ่มต้นจริงจัง
เป็นครั้งแรกที่บริเวณทวีปอินเดียและดินแดนโดยรอบ ก่อนที่จะแผ่ขยายออกไปครอบคลุมเอเชียส่วนใหญ่
ไว้เกือบทั้งหมด แต่เดิมสมาธิถูกวางไว้ว่าเป็นเรื่องของการทำใจให้สงบ นิ่งๆ เฉยๆ หรือถูกมองว่าเป็นการ
ปล่อยให้ความรู้สึกของตนหลอมละลายไปเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แล้วจึงอาศัยความรู้สึกนี้สมมติว่าเป็น
การทำให้มนุษย์ต่อเนื่องกับสวรรค์จนกระทั่งการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย สมาธิ
จึงถูกทำให้ชัดเจนขึ้น จนเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติบนหลักเกณฑ์ที่เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง จากนั้น
การปฏิบัติสมาธิของพระพุทธศาสนาก็ถูกเผยแผ่ออกไปตามเส้นทางการไหลของวัฒนธรรม เส้นทางการค้า
และการสงคราม จนแทบทั้งหมดของผู้คนในทวีปเอเชีย ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่าสมาธิ แตกต่างก็ตรงที่ว่าเป็น
ผู้ปฏิบัติได้หรือไม่เท่านั้น
จุดประสงค์หลักของการปฏิบัติสมาธิ คือ
กันและกัน
1. เป็นไปเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความสุข ความสงบ ความไม่รบกวนซึ่ง
2. เป็นไปเพื่อให้มนุษย์ได้ทราบว่า “ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตน” และกลไกสู่ความจริงนี้คือ “ใจ”
ของเขาเอง
3. เป็นไปเพื่อให้มนุษย์ได้ทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริงของ “ใจ” ของตัวเองว่าอยู่ที่ไหน มีลักษณะ
รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร
กล่าวโดยสรุปง่าย ๆ ก็คือ มนุษย์ทุกคนย่อมทราบดีว่า ใจเป็นต้นเหตุของสิ่งทั้งหลาย เช่นความ
เลวร้ายและความดีงาม ใจดีย่อมสร้างสิ่งดีใจร้ายย่อมก่อให้เกิดสิ่งร้าย ๆ และในเมื่อสังคมโลกต่างปรารถนา
ความดี ความสงบ ความงาม นั่นหมายความว่าโลกกำลังปรารถนา “ใจที่ดี ใจที่มีคุณภาพ” คำตอบก็คือ
“สมาธิทำให้มนุษย์ รู้จักควบคุม และจรรโลงใจของตนเองให้งดงามได้ด้วยตัวเองนั่นเอง”
ระดับความลึกซึ้งของสมาธิเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของเจ้าของใจและความ
ปรารถนาของผู้ฝึกว่าจะเดินไปถึงไหน วางเป้าหมายในการฝึกไว้อย่างไร เพราะในทางพระพุทธศาสนานั้น
กำหนดไว้ตั้งแต่เพื่อความสุขเบื้องต้นของการเป็นมนุษย์ปุถุชน ไปจนกระทั่งถึงเป็นเพศนักบวชคือสมณะผู้
ปรารถนาการตรัสรู้ธรรมเข้าสู่พระสัทธรรมที่เป็นที่สุดของความจริง แต่แน่นอนไม่ว่าจะตั้งความปรารถนาไว้
DOU (9)