ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 163
เห็นอะไร ?
เห็น “เกิดดับ” คือ เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นมีความ
ดับไปเป็นธรรมดา
“รูปธรรมนามธรรมที่ได้มานี้ มีแล้วหามีไม่เพราะความเป็นดังของขอยืมเหมือนกัน
ทุกคนต้องขอยืมทั้งนั้น ผู้เทศน์นี่ก็ต้องคืนให้เขา เราๆ ทุกคนก็ต้องคืนทั้งนั้น ขอยืม
เขามาใช้ ไม่ใช่ของตัวเลย”
สพฺเพ สงฺขารา ฯ เมื่อใดบุคคลเห็นตามปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
เมื่อนั้นย่อม เหนื่อยหน่ายในทุกข์
ใช้ปัญญาจรดลงตรงนี้ว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง” ยึดความไม่เที่ยงนั้นด้วยการตรึกไว้เรื่อยๆ
ทั้งกาย วาจา ใจ เห็นจริงเช่นนี้ก็รู้ว่า สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์แท้ เพราะความที่ไม่เป็นไปตาม
อำนาจใครเลย จึงเห็นตามปัญญาต่อไปว่า “สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ” ได้แก่
- ปุญญาภิสังขาร (สังขารที่เป็นบุญ)
- อปุญญาภิสังขาร (สังขารที่เป็นบาป)
อเนญชาภิสังขาร (สังขารที่ไม่หวั่นไหว)
กายสังขาร (ลมหายใจ เข้าออกปรนปรือกายให้เป็นอยู่)
วจีสังขาร (ความตรึกตรองที่จะพูด)
- จิตตสังขาร (ความรู้สึกอยู่ในใจ)
จึงเบื่อหน่ายในทุกข์นั้น เป็นทางหมดจดวิเศษ
วเส อวตตนาเยว ฯ สังขารธรรมทั้งหลายเหล่านั้น บัณฑิตรู้ว่าไม่ใช่ตัว ว่าเป็นอนัตตา
เพราะความเป็นสภาพไม่เป็นไปตามอำนาจเลย และเป็นปฏิปักษ์
แก่ตัวเสียด้วย
เราก็ว่างเปล่า เขาก็ว่างเปล่า หาอะไรมิได้เลย เป็นเจ้าของเบญจขันธ์ไม่ได้เลย
ท่านจึงยืนยันว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว
กายต่างๆ ที่เป็นตัวตั้งแต่ กายมนุษย์ ต้องอาศัยธรรม เรียก “มนุษยธรรม”
กายทิพย์
กายรูปพรหม
กายอรูปพรหม
ธรรมเป็นอย่างไร ?
ต้องอาศัยทิพยธรรม
ต้องอาศัยพรหมธรรม
ต้องอาศัยอรูปฌาน
- ดวงธรรมใสที่ทำให้เป็นมนุษย์ เท่าฟองไข่แดงไก่ กลางกายมนุษย์ เราได้มาด้วยความบริสุทธิ์
กาย วาจา ใจ เรียก “ธรรม”
- ธรรมที่ทำให้เป็นกายต่างๆ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นไปเป็นลำดับ ที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ เพราะเดินในกลางดวงธรรมนี้ เดินด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
“ธรรมทำให้เป็นตัว ตัวอาศัยอยู่ในธรรมที่เป็นดวงนั้น”
- กายมนุษย์ได้ดวงธรรมมา ด้วยความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ อาศัยดวงธรรมจึงมาเกิดได้
- เทวดาทั้งหยาบละเอียด ได้ดวงธรรมมา เพราะเพิ่มศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา