ข้อความต้นฉบับในหน้า
168 สาระสำคัญพระธรรมเทศนา
ที่เรียกว่า ติดอยู่ในภพ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ โดยมีอาสวะดึงไว้ ต้องกลับมาเวียนว่าย
ตายเกิดไม่จบ จะทิ้งก็เสียดาย ไม่กล้าถอน “เสียดาย” นั่นตัวสำคัญนัก เช่น พวกพรหมที่ได้รูปฌาน
อรูปฌาน ไปติดอยู่ แกะไม่ออกเพราะเสียดาย หรือ มนุษย์ว่าผักเสี้ยนเหม็นเขียว พอเอาไปดองจิ้ม
น้ำพริก ก็กลับชอบรสชาติ
ดังนั้นการติดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็คือการติดอยู่ในรสชาติของภพนั้นๆ
รูปภพมีรสชาติเลิศกว่ากามภพ อรูปภพเลิศกว่ากามภพและรูปภพ
มีอวิชชาสมทบด้วย จึงไม่สิ้นสงสัยว่ายังมีดีกว่านี้อีกหรือ ทำให้อยากอยู่ในภพ อยากติดในภพ
ร่ำไป เรียกการติดในภพว่า “ภวาสวะ”
อาสวะของ “ทิฏฐิ”
“ทิฏฐาสวะ” ไม่อยู่ในประเด็นนี้ แต่มาอธิบายด้วย คือติดอยู่ในความเห็นของตน เมื่อทิฏฐา
สวะ คือ ความเห็นไม่ตรงกัน ก็แก่งแย่ง อวดเชิดความเห็นกัน ถึงประหารซึ่งกันและกัน เพราะทำ
ตามความเห็นของตัวที่ไม่ตรงกัน
ความเห็นก็มีรสชาติ พออวิชชาแอบอยู่ข้างๆ ก็เป็น “อวิชชาสวะ” มีรสชาติของรู้ไม่จริง เกลือก
กลั้วอยู่ด้วย มันก็บังคับถอนไม่ออก
เมื่อรู้จักอาสวะว่าเป็นเครื่องถ่วง เครื่องรั้ง เครื่องตรึง จึงมีนิพพานเป็นเบื้องหน้า
ตตฺถ ฯ ในเหตุนี้ ท่านทั้งหลายไม่ควรประมาท
“ท่านทั้งหลายไม่ควรประมาท อย่าเลินเล่อ อย่าเผลอตัว ถ้าเผลอตัวไป
วันคืนล่วงไปๆๆ ไม่รอใคร เรารอใครก็ช่างเถอะ ความตายไม่รอเลยสักวินาที
เดียว วัน คืน เดือน ปี ล่วงไปทั้งนั้น”