ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 187
๕๖
พุทธอุทานคาถา
(ธรรมที่ทำให้สิ้นสงสัย ๒)
๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๗
นโม...
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมมา...
เป็นคาถาที่ พระพุทธเจ้าทรงเปล่งพระวาจาเองโดยมิได้มีใครทูลถาม จึงเป็นธรรมะอันลึก
ซึ้ง เข้าใจได้โดยยาก เป็นบุญลาภที่เกิดมาเป็นมนุษย์จึงได้ฟัง
ยทา ทเว ฯ
ธรรม คืออะไร ?
คือ
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ ย่อมสิ้นไป
เพราะมารู้จักธรรมว่าเกิดแต่เหตุ ฯ
ธรรม จบพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสเทศน์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนมี ๓ อย่าง
๑. กุสลา ธมฺมา ธรรมฝ่ายดี ไม่มีชั่วปนเลย เป็นธรรมสว่าง เป็นกุศลธรรม
๒. อกุสลา ธมฺมา ธรรมฝ่ายชั่ว คือ ธรรมทั้งหลายที่ชั่ว มืด เป็นอกุศลธรรม
๓. อยากตา ธมฺมา ธรรมที่ไม่ดีไม่ชั่วเป็นกลางๆ ไม่มืดไม่สว่าง
ธรรมเหล่านี้นี่เองที่เกิดแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ โดยประสงค์ธรรมขาว (ธรรม
ฝ่ายดี ) ด้วยการทำใจให้หยุด
“ถูกส่วนเข้า สว่างวูบเข้าไป เหมือนฝันที่เดียว สว่างวูบเข้าไป ปรากฏทีเดียว
เหมือนลืมตา บางคนตกใจนะ นี่หลับตาหรือลืมตานะมันสว่างอย่างนี้ ก็ลืมตาดูเสียที
อ้าว....สว่างนั่นหายไปเสียแล้ว นั่นมีสว่างได้อย่างนั้น มีมืดอย่างนั้น นั่งหลับตา
ปั๊บแล้วกัน ก็มืดตื้อ เมื่อมืดเช่นนั้นเป็นอธรรม เมื่อสว่างขึ้น ปรากฏชัดขึ้นเหมือน
กลางวันนั่นเป็นธรรม ไม่สว่างไม่มืด รัวๆ อยู่ นั่นก็เป็นธรรมเหมือนกัน เป็น
อัพยากตธรรม”
ธรรมเกิดแต่เหตุ “ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺม
ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เหตุมี 5 ประการ คือ
โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ เป็นเหตุของฝ่ายชั่ว
อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ เป็นเหตุของฝ่ายดี