ข้อความต้นฉบับในหน้า
พ ร ะ ร า ม ก า ว น า ร ส ท 3 ( ห ล ว ง พ่ อ ธั ม ม ม โ ย )
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ตอนหนึ่งว่า
“มนุษย์จำนวนมาก เมื่อถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมยึดเอาภูเขาบ้าง
ป่าบ้าง ว่าเป็นที่พึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม เพราะ
อาศัยแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ไปได้
ส่วนผู้ใด ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
ที่พึ่งนั้นแล คือที่พึ่งอันเกษม คือที่พึ่งอันอุดม เมื่ออาศัยที่พึ่งนั้นแล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
ที่ตรัสอย่างนี้
เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเข้าถึงสรณะภายในด้วย
พระองค์เอง และได้พิสูจน์แล้วว่าที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน มีเพียง
๓ อย่างนี้เท่านั้น และท่านผู้รู้ทั้งหลาย ต่างได้ยืนยันอย่างนี้เหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นพวกเราซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ควรจะยึดเอาพระรัตนตรัย ๓
อย่างนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้ว เรา
จะพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้
ชาวโลกทั้งหลายที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมไม่รู้จักว่า สรณะที่แท้จริงคืออะไร อยู่ที่ตรงไหน และจะเข้าถึงได้ด้วยวิธี
การใด เมื่อไม่รู้ ก็เลยไปยึดเอาสิ่งที่ตนได้พบเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งเป็น
ที่ระลึก
แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ได้
ตรัสแก่ผู้มีบุญทั้งหลาย ถึงที่พึ่งที่ระลึกว่า มีอยู่เพียง
๓
อย่างนี้เท่านั้น ผู้ที่
ประพฤติปฏิบัติตาม ต่างได้บรรลุธรรมาภิสมัย เข้าถึงพระรัตนตรัยกันมากมาย
แต่ในยุคเดียวกันนั้นเอง บางคนแม้เกิดร่วมสมัยกัน กลับไม่เคยได้ยินได้ฟัง
เลยว่า อะไรเป็นสรณะที่แท้จริง ดังเช่น ปุโรหิตอัคคิทัต
ปุโรหิตอัคคิทัต เป็นผู้ที่มีปัญญา เป็นพหูสูต ท่านเป็นที่ปรึกษาของ
พระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์ คือพระเจ้ามหาโกศล กับพระเจ้าปเสนทิโกศล
ต่อมาภายหลังเมื่อท่านชราภาพลง ท่านปรารถนาจะแสวงหาที่วิเวก จึงได้
กราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศล ออกบำเพ็ญสมณธรรม ไปบวชเป็น
ฤาษี ตั้งบรรณศาลาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง
5