ข้อความต้นฉบับในหน้า
6
SW WS: 5 5 5 NINA U10
ในสมัยนั้น มีผู้ที่เลื่อมใสในท่านปุโรหิตจำนวนมาก ถึงหมื่นคนทีเดียว
ตามไปบวชด้วย เพราะมีความเชื่อมั่นในความเป็นพหูสูตของท่านปุโรหิตว่า
จะสามารถแนะนำสั่งสอนให้รู้จักที่พึ่งที่แท้จริงได้ ในที่สุดทั้งหมดได้บวชเป็น
ฤาษี อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ และได้ตั้งกติกากันเอาไว้ว่า
เมื่อใดใครเกิดกามวิตก คือถ้าเกิดไปนึกถึงเรื่องทรัพย์สมบัติ หรือ
เรื่องสตรี ขอให้ไปขนเอาทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำมากองไว้ นี่ก็เป็นความดีอย่าง
หนึ่งที่ท่านฤาษีอัคคิทัตได้สั่งสอนแก่ฤาษีบริวารว่า ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้ว
ก็ให้ไปขนทรายมา แล้วก็ไม่ว่ากัน ไม่อายกัน เปิดเผยความบริสุทธิ์ใจซึ่งกัน
และกัน แต่ปรากฏว่าทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น ถูกขนขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
จนกองโตเป็นภูเขาเลากา กระทั่งมีพญานาค ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีกายละเอียด แต่
สามารถที่จะแปลงเป็นกายหยาบได้ เกิดความยินดีในทรายกองโตนี้ เห็นว่า
มันสวยงาม จึงไปนอนอยู่บนยอดกองทราย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอดพระญาณ ในยามรุ่งอรุณ มองเห็น
อุปนิสัยของฤๅษีอัคคิทัตและบริวารว่าจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะมี
บุญบารมีเต็มเปี่ยม แต่ในขณะนี้กำลังบ่มอินทรีย์อยู่ ทรงเห็นว่าอัคคิทัตได้
สั่งสอนตนเองและบริวารไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ว่าเมื่อใดเกิดความสะดุ้งกลัว
เกิดความทุกข์ทรมาน ให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คืออะไรที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ให้ฟัง
สิ่งนั้น เช่น พึ่งภูเขาลูกโตๆ พึ่งป่าที่ดูแล้ววังเวง พึ่งต้นไม้ใหญ่ๆ ที่เข้าใจว่า
จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่จะบันดาลความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาราม
ศักดิ์สิทธิ์ พึ่งเทวสถาน สั่งสอนไม่ถูกต้องอย่างนี้ และยึดถือกันอย่างนี้เรื่อยมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ฤๅษีอัคคิทัตและ
บริวาร จะได้เข้าถึงสรณะที่แท้จริง ในยามเช้า จึงตรัสเรียกพระโมคคัลลานะ
รับสั่งว่า
“โมคคัลลานะ เธอจงไปโปรดอัคคิทัตดาบสกับบริวาร ให้เป็นสัมมา
ทิฏฐิ ให้รู้จักที่พึ่งที่แท้จริงเถิด"
พระโมคคัลลานะได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “อัคคิทัตดาบส
มีบริวารมาก มีกำลังมากเหลือเกิน ลำพังถ้าข้าพระองค์จะไปโปรด เขาก็
คงจะไม่เชื่อฟัง เพราะว่าดาบสรวมกันเป็นหมู่ใหญ่ อาจจะแย้งข้าพระองค์ได้
แต่ถ้าหากว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จไปด้วย ก็คงจะโปรดได้ทั้งหมด”