ข้อความต้นฉบับในหน้า
26 5 2 ม พ 5 : 5 5 5 1 1 1 1 1 1
0
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน มงคลสูตร ตอนหนึ่งว่า
มุฏฐสุส โลกธมฺเมหิ จิตต์ ยสฺส น กมฺปติ
อโสก วิรช์ เขม เอตมุมงฺคลมุตฺตม์
จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่
เศร้าโศก ปราศจากความขุ่นมัว เป็นแดนเกษมจากโยคะ ได้ชื่อว่าเป็น
มงคลอันสูงสุด
ธรรมดาของผู้ที่มีจิตใจมั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คำว่า
โลกธรรม คือธรรมประจำโลกนั่นเอง มีทั้งสิ่งที่พึงปรารถนา และสิ่งที่ไม่พึง
ปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ
นินทา ทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใครๆ ก็อยากได้ความสมปรารถนากันถ้วนหน้า เช่น อยากมีโชค มี
ทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อม อยากได้รับการยอมรับนับถือ มียศ มีตำแหน่งสูงๆ
ไปไหนก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ มีความสุขกายสุขใจเนืองนิตย์ สิ่งเหล่านี้
เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคน
แต่ในความเป็นจริง บางครั้งแม้ชีวิตของเราไม่ปรารถนาจะเจอ แต่
เราก็ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราไม่
ปรารถนาจะพบ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ อย่าว่าแต่เราเลย แม้แต่พระอรหันต์
ท่านยังถูกนินทาเลย
ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสกชื่ออตุละ กับพวกพ้องอีก ๕๐๐ คน ได้มาที่
วัดพระเชตวัน ตั้งใจจะมาฟังธรรม พอมาถึงสำนักของพระเรวตะ ท่านกำลัง
เจริญภาวนาเข้าฌานสมาบัติอยู่ เพราะท่านมีปกติยินดีในการหลีกเร้น ชอบ
ทำภาวนาเงียบๆ จึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับอุบาสก
อุบาสกเหล่านั้นจึงโกรธท่าน แล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ
จนไปถึงสำนักของพระสารีบุตร ท่านก็ถามว่า “โยมมาวัด อยากได้อะไรล่ะ”
อุบาสกตอบว่า “กระผมมา เพราะอยากฟังธรรม”
พระสารีบุตร ท่านเป็นพระธรรมเสนาบดีอยู่แล้ว เป็นเลิศทางปัญญา
เวลาท่านแสดงธรรมนั้นเป็นประดุจตัวแทนของพระพุทธองค์ ท่านจึงได้