ข้อความต้นฉบับในหน้า
22 SONWSSSSNINNU1
เพราะฉะนั้น ควรพิจารณาว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่ไม่
เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เราจะต้องหมั่นพิจารณา
บ่อยๆ ถ้าเราไม่พิจารณาบ่อยๆ เราก็จะลืม พอลืม เราก็จะหลงเพลิดเพลิน
อยู่ในสิ่งเหล่านั้น เมื่อลืมคำสอนของพระบรมศาสดาเสียแล้ว ใจก็ไปหมกมุ่น
พัวพันกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้เราห่างจากธรรมกายออกไปทุกที ยิ่ง
ห่างธรรมกายซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขอันเป็นอมตะไปมากเท่าไร ความ
ทุกข์ก็จะยิ่งหลั่งไหลเข้ามาสู่กายและใจของเรามากเท่านั้น
ในขณะที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องพิจารณาว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้แต่ร่างกายของเรานี้
ก็เหมือนกัน ย่อมเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เป็นจุดเล็กๆ
เจริญเติบโตด้วยอาหารของมารดา ที่หล่อเลี้ยงตลอดมาตามลำดับ แปรเปลี่ยน
จนกระทั่งเราเคลื่อนย้ายมาสู่โลกนี้ ลืมตาดูโลก แล้วก็เจริญเติบโตมีการ
เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามลำดับ ไม่มีคงที่เลย แปรเปลี่ยนเรื่อยมาตามลำดับ
ตั้งแต่ทารก จนกระทั่งเป็นเด็กวัยรุ่น วัยหนุ่มวัยสาว วัยกลางคน วัยชรา
และในที่สุดก็เคลื่อนย้ายไปสู่เชิงตะกอน
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ก้อนนี้ว่าเป็นตัวเรา
เป็นของๆ เรา ร่างกายนี้เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัย เหมือนบ้านเหมือนเรือน
ที่เราอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งในที่สุดก็ไปสู่จุดสลาย เพราะว่ามันไม่คงที่
ฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างนี้ ไม่คงที่ จึงเป็นที่พึ่งที่ระลึกไม่ได้
สิ่งที่จะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดได้ สิ่งนั้นจะต้องคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
และให้ความสุขกับเราตลอดกาล คือ เป็นนิจจัง สุขัง และอัตตานั่นเอง
พระพุทธเจ้าได้ทรงพิสูจน์แล้ว ท่านพบว่าธรรมกายนั่นแหละเป็นนิจจัง
เป็นสุขัง เป็นอัตตา เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง จะเข้าถึงสรณะ
นี้ได้จะต้องอาศัย อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เอาตัวนี้เอากายนี้ ฝึกฝนปฏิบัติ
พึ่งตัวของเราเอง ทำความเพียร ฝึกใจหยุดใจนิ่ง ไม่ใช่ไปอ้อนวอน สวดมนต์
ให้เข้าถึงธรรมกายอย่างนั้นนะ ไปอ้อนวอนจุดธูปบูชาตามจอมปลวกบ้าง
เจ้าทรงผีสิงผู้วิเศษเหล่านั้น จะให้เข้าถึงสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างนี้ ซึ่งมัน
เข้าถึงไม่ได้ จะต้องอาศัยตัวของเรานี้ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ หมั่นปรารภ