ข้อความต้นฉบับในหน้า
50 5 NW 5 SSSUINRU1-0
ท่านทรงสอนต่อไปอีกว่า ผู้ไม่ประมาทในชีวิตควรมองให้เห็น “มรณภัย”
คือความตายที่เข้ามาเยือนอยู่ทุกวินาที ว่าเป็นภัยใหญ่หลวงจะหลีกหนีอย่างไร
ก็หนีไม่พ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีบารมีเต็มเปี่ยมยังต้องดับขันธปรินิพพาน
ฉะนั้นจะกล่าวไปไยกับพวกเราคนธรรมดา ที่จะต้องเจอกับสัจธรรมนี้เช่นกัน
จึงควรละ “อามิส” คือเหยื่อล่อที่ทำให้ติดอยู่ในโลก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ทำให้เราเพลินอยู่ในโลก หาทางรอดพ้นจากมรณภัยไม่
ได้ ทำให้เราประมาท หลงทางพระนิพพาน
ดังนั้น ท่านจึงสอนให้ละอามิสในโลกเสียแล้วมุ่งสู่สันติ คือทำใจให้
หยุดนิ่ง มุ่งเข้าไปสู่สันติสุขภายใน กลางของกลางเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
เข้าถึงบรมสุข ความสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพาน ที่มีแต่สุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์
เจือปน ไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นชีวิตอันอมตะ
เวลาในโลกมนุษย์นี้มีจำกัด เราควรจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ให้
เกิดประโยชน์แก่ตัวเราเอง และแก่เพื่อนร่วมโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวก
เราเป็นยอดนักสร้างบารมี จะต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าต่อกาลเวลาที่สูญเสียไป
เพราะเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี และยังสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ
เราจะต้องใช้เวลาทุกอนุวินาทีสร้างบารมีให้เต็มที่ ให้วันหนึ่งคืนหนึ่ง
ผ่านไปพร้อมกับบุญกุศลที่เพิ่มขึ้น เวลาในโลกมนุษย์สั้นนิดเดียว เมื่อเทียบกับ
เวลาในสัมปรายภพแล้วต่างกันมาก เพราะชีวิตหลังความตายนั้นยาวนาน
เป็นแสนเป็นล้าน เป็นหลายๆ ล้านปี มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล
มีเทพธิดาท่านหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กับเหล่าเทพธิดาอีก ๕๐๐
กำลังเก็บดอกไม้ เพื่อจะนำมาประดับให้มาลาภารีเทพบุตร ในสวนนันทวัน
ซึ่งเป็นทิพยอุทยาน ที่สวยงามมากของชาวสวรรค์ ในขณะที่เทพธิดากำลัง
เพลิดเพลินอยู่กับการเที่ยวเด็ดดอกไม้ทิพย์อยู่นั้น ทันใดนั้นเองก็ได้จุติ คือตาย
จากสรวงสวรรค์ ลงมาเกิดในโลกมนุษย์
พอเกิดมาอายุได้ไม่กี่ขวบ นางก็สามารถระลึกชาติได้ เพราะสั่งสม
บุญเก่ามาดี เห็นว่าชาติก่อนตนเอง เคยเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ เป็นบริวาร