ข้อความต้นฉบับในหน้า
พ ร ะ ร า ย ก า ว น า ร ส ท 3 ( ห ล ว ง พ่ อ ะ ม ม ม โ ย ) 57
ในสมัยก่อน พุทธศาสนิกชนเป็นผู้ใคร่ในการฟังธรรมกันมาก เขาฟัง
ธรรมกันตลอดทั้งคืน บางท่านถึงกับยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้โจรจะเข้า
บ้านมาขโมยทรัพย์สมบัติก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่ยอมให้เสียโอกาสในการฟังธรรม
เพราะเห็นว่าอริยทรัพย์นั้นประเสริฐกว่าโลกียทรัพย์
เรื่องมีอยู่ว่าอุบาสิกาท่านหนึ่ง อยากฟังธรรมจาก พระลูกชาย คือ
“พระโสณะกุฏิกัณณะ” เพราะได้ยินว่าท่านเคยแสดงธรรมเฉพาะพระพักตร์
พระบรมศาสดา พระองค์ทรงอนุโมทนา แม้แต่เทวดาก็ยังมาอนุโมทนาด้วย
เมื่อนางได้ยินข่าวว่า พระลูกชายมาแสดงธรรมที่วัดใกล้บ้าน คืนนั้นนางจึง
ตั้งใจว่าจะไปฟังธรรมให้ได้ พอถึงเวลาได้พาบริวารไปฟังธรรมที่วัด เหลือไว้
แต่หญิงรับใช้อยู่เฝ้าบ้านเพียงคนเดียว
บ้านของอุบาสิกานั้น ล้อมด้วยกำแพง ๗ ชั้น มีซุ้มประตู ๗ ซุ้ม
แล้วยังเลี้ยงสุนัขดุไว้เฝ้าทุกๆ ประตูอีกด้วย พวกโจรทราบว่าอุบาสิกากับ
บริวารไปวัดกัน จึงได้ขุดอุโมงค์เข้าไปในบ้านของนาง แล้วหัวหน้าโจรไปดัก
รออยู่ที่หน้าประตูวัด ตั้งใจว่าถ้าอุบาสิกานั้นรู้ว่า พวกโจรบุกเข้าไปในบ้านนางได้
และหากว่านางมุ่งหน้าจะกลับบ้าน ก็จะฆ่านางเสีย
เมื่อพวกโจรเข้าบ้านได้แล้ว ก็เปิดประตูห้องเก็บสมบัติ ขนแก้วแหวน
เงินทองกันใหญ่ สาวใช้เห็นพวกโจรเข้ามา จึงรีบไปบอกอุบาสิกา ซึ่งกำลัง
นั่งฟังธรรม จากพระลูกชายอยู่ที่วัด
นางฟังคำของสาวใช้แล้ว แทนที่จะรีบกลับบ้าน นางกลับบอกว่า “ใคร
จะขนเอาอะไรก็เอาไปเถิด ฉันจะฟังธรรม
อารมณ์ในการฟังธรรมเลย”
เจ้าอย่ามาทำให้ฉันเสีย
ฝ่ายพวกโจรพอขนสมบัติจากห้องหนึ่งเสร็จ ก็เปิดห้องเก็บสมบัติอีก
ห้องหนึ่ง สาวใช้นั้นก็รีบกลับมาบอกอุบาสิกาอีกเป็นครั้งที่สอง อุบาสิกาก็
ยังพูดเหมือนเดิม ไล่สาวใช้กลับบ้านไป ไม่ใส่ใจกับเงินทองเหล่านั้นเลย ยัง
นั่งฟังธรรมเฉย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนพวกโจรขนเงินทองของมี
ค่าออกจากบ้านไปจนหมด สาวใช้ทนไม่ไหว รีบไปแจ้งให้นายทราบอีก