ข้อความต้นฉบับในหน้า
วิสุทธิวาจา 1
103
ຕຕ
เรื่องสุข
เรานึกถึงความสุข ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นมันซาก
ของศพ นั่นไม่ใช่สุขจริง ไม่ใช่เนื้อหนังของสุข มันซากของสุขนะ
เมื่อหลุดขึ้นพอพ้นจากกามไปแล้ว ถึงรูปภพเข้า ไปถึงรูปฌานทั้ง ๔
เข้า นึกถึงสุขของกาม ไอ้สุขของกามนั้นมันเศษสุข ไม่ใช่สุขจริงๆ เมื่อไปถึง
อรูปฌานเข้า ไอ้สุขของรูปฌานนั่นนะ มันสุขอย่างหยาบนะ ไม่ใช่สุขละเอียด
นุ่มนวล ชวนให้สบายอกสบายใจ เหมือนอรูปฌาน
เมื่อได้รับความสุขในอรูปฌานแล้ว สุขในอรูปฌานนี่มันสุขในภพ ไม่
ใช่สุขนอกภพ นี่มันสุขต่ำทรามนะ พอไปถึงนิพพานเข้าก็ อ้อ! นี่มันสุขนุ่มนวล
ชวนติดนัก นี่มันสุขจริง
เรื่องสุขในพระนิพพานนั้นมันสุขลึกซึ้งนัก พระพุทธเจ้ามีเท่าไรๆ ไปติด
อยู่ในนั้นหมด พอติดเสียเช่นนั้น เหลวอีกเหมือนกัน ไปติดแต่นิพพานนั้น ต้อง
ไม่ติดสุขแค่นี้ แล้วหาสุขต่อขึ้นไป ใครที่จะหาสุขต่อขึ้นไป เขาเรียกว่า
อปฺปสุข ปหาย ละสุขอันน้อยเสีย ไปหาสุข สุข อาทาย ถือเอาสุขใหญ่ ปล่อย
สุขขึ้นไป ไม่หยุดอยู่ในสุขแค่นั้น
ถ้าไปหยุดแค่นั้น โง่ ไม่ฉลาด
ถ้าปล่อยสุขขึ้นไปไม่มีที่สุดกันละก็ นั่นฉลาดละ อย่างพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นต้นธาตุ นี้ฉลาดเต็มที่
นี้แค่นี้ธรรมนั่นแหละ นำความสุขมาให้นะ ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นได้รับสุข
ด้วยประการดังนี้
จากพระธรรมเทศนาเรื่อง “ปกิณกะ
๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๗