ข้อความต้นฉบับในหน้า
วิสุทธิวาจา 1
105
๗๕
นี่แหละ...ละคร
ถ้าจะอยู่นอกปกครองเขา ต้องไปให้ถึงที่สุดสายธาตุสายธรรม
ของตัว ไปถึงที่สุดสายธาตุสายธรรมของตัวละก็ ในที่สุดนั้นไม่มีใคร
ปกครองเลย เราปกครองของเราเอง
เราไม่ต้องรับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ได้ เพราะเรามีอำนาจ
พอแล้ว เราไม่อยู่ในปกครองก็ได้ตามความปรารถนา แต่ว่าต้องไปให้สุดสาย
ธาตุสายธรรมของตัว ถ้าให้สุดสายธาตุสายธรรมของตัวไม่ได้ละก็ เลี้ยงเอา
ตัวรอดไม่ได้
บัดนี้เราเป็นภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในพระพุทธศาสนา เมื่อ
มาฟังอุทานคาถา รู้ว่าธรรมของพระศาสนาลึกซึ้งอย่างนี้ขนาดนี้ ละก็อุตส่าห์
อย่าประมาท อย่าเลินเล่อ อย่าเผลอตัว อย่างคนมีปัญญา อย่างคนรู้ดีรู้ชั่ว
อย่าเอาเล่นเอาอย่างเด็ก ถ้าเมื่อเล่นอย่างเด็ก แล้วก็เล่นหม้อข้าวหม้อแกง
เล่นฝุ่นเล่นทรายอยู่ละก็ ชีวิตจะไม่พอใช้
เพราะเขาเล่นละครกันเป็นบ้านๆ โรงๆ กัน ในโลกนี้เขาเรียกว่า ละคร
โรงใหญ่ เล่นฝุ่น เล่นทราย เล่นแปลกๆ ไปตามหน้าที่ เอาจริงๆ แท้ๆ ไม่ได้สัก
คนหนึ่ง ขึ้นไปแล้วก็ตายกันหมด เอาจริงเอาแท้เหลือสักคนหนึ่งก็ไม่มี
เพราะเหตุอะไรเล่า เพราะเหตุว่าเลินเล่อเผลอตัวไป เลินเล่อเผลอตัว
ไป มนุษย์โลกนี้ เราผ่านไปผ่านมา เข้าใจว่าเป็นบ้านของเราเมืองของเราเสีย
ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว เข้าใจเสียอย่างนั้น ก็เข้าใจผิดไป นี่แหละละคร กาย
เรานี่นะโตกว่าบ้านเมืองเหล่านี้มากนัก ให้ไปชมดูเถิด แต่ว่าต้องไปให้ถึงที่
สุดให้ได้นะ
ไปที่สุดของกายเหล่านี้ได้ ก็จะเอาตัวรอดได้เป็นแท้
จากพระธรรมเทศนาเรื่อง “พุทธอุทานคาถา”
๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๗