ข้อความต้นฉบับในหน้า
นอกจากความสบายทั้ง 2 ระดับนี้ ถ้ายังรักษาความหยุดความนิ่งเฉย ที่เจือไปด้วยความโล่ง โปร่ง
เบา สบายต่อไปอีกโดยวิธีการเดิม ก็จะสบายเพิ่มขึ้นไปอีก คือ อาการที่ โล่ง โปร่ง เบา สบาย ก็ละเอียด
ลงไปเรื่อยๆ ขยายความรู้สึกตัวเรา จะขยายกว้างขวางออกไปเหมือนตัวพองโต ขยายออกไปจนกระทั่ง
ไม่มีขอบเขต คำว่าไม่มีขอบเขตตอนนี้ ความรู้สึกเหมือนเราไม่มีร่างกาย ไม่มีตัวตน กลืนกันไปเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกับบรรยากาศ กว้างออกไป ใจก็จะนิ่งๆ นุ่มๆ หยุดนิ่งเฉย
ถ้ายังคงรักษาอารมณ์นี้ให้ต่อเนื่องต่อไปอีก โดยไม่คำนึงถึงความมืดหรือความสว่าง ไม่คำนึงว่า
จะรู้จะเห็นอะไร หรือจะได้อะไร แค่รักษาอารมณ์ที่หยุดนิ่งที่มีความสบายอย่างนั้นต่อไปอีก ก็จะยิ่งสบาย
เพิ่มขึ้น กายของเราก็จะสงบ ระงับ นิ่ง ความรู้สึกที่ต้องฝืนต้องพยายามนั่งเพื่อให้ได้สมาธิก็หมดไป
ความราบเรียบของกายและใจเกิดขึ้น และจะนิ่งเอง ร่างกายเหมือนถูกตรึงติดอยู่กับพื้น ความสบายจะเพิ่มขึ้น
จนเรามีความพึงพอใจ และความสุขก็จะมาในตอนนี้ เราจะรู้สึกว่าเป็นสุข ที่เรายอมรับว่าใจของเราเป็นสุข
ปลอดกังวล ไม่มีเรื่องคน เรื่องสัตว์ เรื่องสิ่งของ คล้ายๆ กับเราอยู่คนเดียวในโลกจริงๆ เป็นตัวคนเดียว
เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลาย จะนิ่ง นุ่มๆ ละมุนละไม ตอนนี้สบายอย่างแท้จริง เป็นความสุขที่
ละเอียดอ่อนประณีต
2.2.4 วิธีทำใจให้สบาย
1. ทำใจหลวมๆ ให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งไปให้หมด ความคิดต่างๆ ภารกิจการงาน การศึกษา
เล่าเรียน เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรต่างๆ นอกเหนือไปจากนี้ ให้ปลดปล่อยวาง ทำประหนึ่งว่า เราไม่
เคยพบปะสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ไม่เคยมีความคิดกับสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย คล้ายๆ กับเราอยู่คนเดียวในโลก
ทำใจให้ปลอดโปร่งว่างเปล่าประดุจภาชนะที่ว่างหรือความว่างของอากาศ ไม่มีความคิดอะไรเลย
2. ใจสบาย ร่างกายก็สบาย เราจะรู้สึกว่า เราจะนั่งอยู่ในท่านี้ คิดอย่างนี้ไปนานแค่ไหนก็ได้ โดย
ไม่มีความรู้สึกกังวลกับการเห็น ให้คิดว่าเรามานั่งเพื่อให้ใจสงบใจหยุดหรือใจนิ่ง ส่วนการเห็นเป็นผลพลอยได้
ไม่เห็นไม่เป็นไร เอาสบายไว้ก่อน เมื่อเราพอใจจะไม่ปวดต้นคอ ไม่มึน ไม่ซึม ไม่หงุดหงิด พระราช
ภาวนาวิสุทธิ์ได้กล่าวไว้ว่า “หากตึง มึน ซึม เครียด ให้ปรับอารมณ์ให้สบายก่อนอย่ากลัวเสียเวลา”
เมื่อปวดต้นคอ อย่าฝืนให้ลืมตาขึ้น ไปล้างหน้าล้างตา เดินเหินให้สดชื่นแล้วกลับมานั่งใหม่ หรือถ้า
เมื่อยมากทนไม่ไหว เปลี่ยนอิริยาบถ ให้ลุกไปข้างนอก บิดเนื้อบิดตัวสักพัก แล้วค่อยกลับมานั่งใหม่
สิ่งที่ตามมาจากใจที่สบายกายที่สบายนั่นคือ ใจจะค่อยๆ รวมตัวหยุดนิ่ง เกิดอาการโล่ง โปร่ง เบา
สบายมากขึ้น เมื่อใจสบายให้หยุดนิ่งอย่างเดียวไม่ต้องภาวนา สบายต้องคู่กับสติ ถ้าเผลอสติ สบายเหมือนกัน
แต่เรื่อยเปื่อย สบายต้องมีสติกำกับอย่าให้เผลอ ตรงนี้ต้องฝึกฝน บางทีสบายเกิน เผลอหลับไปเลย
ต้องปรับปรุงแก้ไข ถ้าไม่ปรับจะมีแต่ฟุ้งกับหลับ ถ้าไม่แก้จะติดไปตลอดชาติ
3. ไม่คิดถึงสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว ให้มีความรู้สึกจริงๆ ว่า เราให้อภัยทุกคนเท่ากับให้
ความสบายกับตัวของเรา ความลังเลสงสัย ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความท้อ ความง่วง ความเคลิบเคลิ้ม
ต้องปลดปล่อยวางให้หมด นึกถึงสิ่งที่สบายๆ จะช่วยให้ใจสบายเช่น เรื่องความดี กุศล บุญ ธรรมชาติ ฯลฯ
บทที่ 2 หลักสำคัญของการนั่งสมาธิ DOU 27