ข้อความต้นฉบับในหน้า
อนึ่ง ในการปฏิบัติ จริงๆ แล้วต้องปฏิบัติเจริญภาวนาทุกๆ อิริยาบถอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหาก
เราอยู่ในอิริยาบถใดแล้วสัปปายะแก่การทำสมาธิ ก็ให้อยู่ในอิริยาบถนั้นมาก อิริยาบถอื่นๆ ก็ลดลงตามส่วน
อิริยาบถที่สัปปายะแก่บุคคลส่วนใหญ่ คือการนั่ง เพราะสามารถอยู่ในท่านั่งได้นานที่สุด
โดยมีสติมั่นคงเป็นสมาธิดีที่สุด และหากนั่งขัดสมาธิไประยะหนึ่งแล้วเกิดอาการเมื่อย ก็อาจเปลี่ยนเป็น
นั่งพับเพียบได้ตามสมควรแก่สัปปายะ
ผู้ปฏิบัติที่กำลังประคองรักษานิมิตอยู่ โดยเว้นจากอสัปปายะ 7 แล้วเสพสัปปายะ 7 ประการ
ตามที่ได้อธิบายมาแล้วนี้ บางท่านก็เข้าถึง “ปฐมมรรค” หรือ “ปฐมฌาน” ได้ แต่หากว่าบางท่านยังไม่เข้าถึง
พึงบำเพ็ญ “อัปปนาโกศล” 10 ประการให้เกิดขึ้นในตนอย่างบริบูรณ์
อัปปนาโกศล 10
อัปปนาโกศล 10 ประการ มีดังต่อไปนี้
1. จงชำระร่างกายและเครื่องนุ่งห่มให้สะอาด ตลอดจนทำการปัดกวาดเช็ดถูสิ่งของ
เครื่องใช้ต่างๆ ให้หมดจด สะอาดสะอ้าน แล้วจัดวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูเย็นตา
2. กระทำอินทรีย์ทั้ง 5 มีศรัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิ ให้เสมอกันในหน้าที่ของตนๆ
โดยเฉพาะสำหรับสตินั้น ต้องกระทำให้มากยิ่งกว่าธรรมทั้งปวง เพราะกุศลธรรมเหล่านั้นย่อมมีสติ
เป็นที่พำนัก เป็นเครื่องป้องกันรักษาไม่ให้จิตตกไปสู่นิวรณ์ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีศรัทธามากกว่า อินทรีย์อีก 4 อย่างน้อย ผลก็คือวิริยะซึ่งทำหน้าที่
ประคองสติ สมาธิซึ่งทำหน้าที่ไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาซึ่งทำหน้าที่รู้เห็น แต่ละอย่างๆ ไม่อาจทำหน้าที่
ของตนได้เต็มขีดขั้น ดังนั้นต้องลดศรัทธาลงด้วยวิธีไม่ใส่ใจ
3. มีความฉลาดในนิมิต คือ
ประการที่ 1 ฉลาดในการทำนิมิตที่ยังไม่เกิดให้เกิด (ฉลาดให้เกิด)
ประการที่ 2 ฉลาดในการรักษานิมิตที่เกิดแล้วมิให้เสื่อม (ฉลาดรักษา)
4. ประคองจิตในเวลาควรประคอง คือ ถ้าเห็นว่าจิตหดหู่ ท้อถอย ตกไปในความเกียจคร้าน
ต้องประคองจิตใจด้วยการเจริญธรรมะ 3 ประการ คือ
1) ธัมมวิจยะ นึกถึงธรรมะที่พระเดชพระคุณท่านสอน ตริตรองธรรม แล้วนำมาสอนตน ให้เกิด
กำลังใจ
2) สร้างสมาธิ หักดิบนั่งสมาธิทำความเพียรเรื่อยไป จนใจผ่องใส มีความเบิกบาน
3) สร้างปีติ โดยนึกถึงบุญที่เราได้สร้างไว้ ให้เกิดปีติอิ่มเอมใจ
70 DOU สมาธิ 2 ห ลั ก ก า ร เ จ ริ ญ ส มา ธิ ภ า ว น า