ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 45
สพฺพปาปสฺส อกรณ์ ฯ
ชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ไม่กระทำเป็นเด็ดขาด ดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำจนสุดความสามารถ
ทำใจของตนให้ผ่องใส
ธมฺโม สุจิณฺโณ ฯ
ธรรมดวงนั้น ถ้าสั่งสมให้สะอาดมากขึ้น จึงเรียกว่า “ธรรมอันบุคคลสั่งสมดีแล้ว” ย่อมมี
อานิสงส์ คือ
ธรรมนั้นย่อมนำสุขมาให้ ใจไม่เศร้าหมอง
ไม่ไปสู่ทุคติ มีแต่สุคติฝ่ายเดียว
“ธาตุธรรมนั้นแหละรักษาผู้ประพฤติธรรมละ ถ้าเห็นเข้าแล้วก็รักษาผู้นั้น ไม่
ตกไปในที่ชั่ว อย่าทิ้งท่านก็แล้วกัน อย่าผละจากท่าน ถ้าว่าห่างจากธรรมนั้นไม่
รับรอง"
ดังนั้นถ้าความประพฤติไขว้เขว ไม่อยู่กับธรรม เห็นดวงใสเช่นนี้ไม่ได้ ก็เป็นคนเหลวไหลหลอก
ตัวเอง เพราะอยากได้ความสุข แต่ไปทางทุกข์ ถ้าหลอกตัวเองได้เช่นนี้ ก็โกงคนอื่นได้เหมือนกัน
“หลอกตัวเองเป็นอย่างไร ตัวอยากได้ความสุข แต่ไปประพฤติทางทุกข์เสีย
มันก็หลอกตัวเอง อยู่อย่างนี้ละซิ ตัวเองอยากได้ความสุข แต่ความประพฤตินั้น
หลอกตัวเองเสีย ไปทางทุกข์เสีย มันหลอกอยู่อย่างนี้ ใครเข้าใกล้มันก็โกง โกงทุก
เหลี่ยมนั่นแหละ ถ้าลงหลอกตัวเองได้ มันก็โกงคนอื่นได้ ไว้ใจไม่ได้ทีเดียว
เหตุนี้พุทธศาสนาท่านตรง ตรงตามท่านละก็มรรคผลไม่ไปไหน”
ใน อคฺคปุปสาทสูตร ได้วางหลัก “การเลื่อมใสในธรรมโดยความเป็นของเลิศ” ธรรมที่แสดง
มาแล้วเป็นธรรมอันเลิศทั้งนั้น และเคารพโดยความเป็นของเลิศ ต้องไม่ปล่อย เข้าถึงแล้วใจจรดอยู่
กลาง ไม่ปล่อยวาง ตั้งแต่ดวงธรรมของกายมนุษย์จนกระทั่งถึงพระอรหัตเป็นชั้นๆ ไป
๑.
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ
ธรรมกาย คือ พระพุทธเจ้าผู้เลิศ ตั้งแต่ธรรมกายโคตรภู โสดา สกทาคา อนาคา อรหัต
ทั้งหยาบและละเอียด เป็น “ทักขิไณยบุคคล” อย่างเยี่ยม
๒. เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ
ดวงธรรมทุกดวง ตั้งแต่ดวงธรรมของกายมนุษย์ถึงพระอรหัต เมื่อเข้าไปอยู่ในกลางดวง ก็หมด
ความกำหนัดยินดี เป็นธรรมปราศจากยินดี สงบระงับ ต้องการสุขก็เข้าไปอยู่กลางดวงธรรมนั้น ทุก
ดวงเป็นสุขแสนสุขแบบเดียวกันหมด
๓. เลื่อมใสในพระสงฆ์อันเลิศ
คือ เข้าถึงกายละเอียดของกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม และธรรมกายละเอียดของ กาย
ธรรมโคตรภู โสดา สกทาคา อนาคา อรหัต พระสงฆ์เป็นบุญเขตอย่างยอด ถ้าใครบริจาคกับพระสงฆ์
หรือเลื่อมใส ได้ผลเป็นมหัศจรรย์
เมื่อได้ถวายทานในท่านผู้เลิศ คือพระพุทธเจ้า ในธรรม ในพระสงฆ์แล้ว จึงมีอานิสงส์ :