ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 55
ผู้ที่จะไปสู่วิราคธาตุวิราคธรรม ต้องประกอบตามธรรมที่พระตถาคตกล่าวดีแล้ว
ธรรมที่พระตถาคตกล่าวดีแล้ว คืออะไร ?
“ธรรมที่พระตถาคตเจ้ากล่าวดีแล้วนั่นน่ะไม่ใช่ทางอื่น ทางมรรคผลนี่เอง การ
ทำใจให้หยุดนั่นแหละเป็นตัวมรรคทีเดียว พอใจหยุดก็เป็นตัวมรรค ก็จะมีผล ต่อ
ไป เมื่อใจหยุดเป็นตัวมรรคแน่นอนแล้ว มรรคผลเกิดเป็นลำดับไป พอใจหยุด
ก็ได้ชื่อว่าเริ่มต้นโลกียมรรค มรรคผลนี่แหละเป็นธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสดีแล้ว
ต้องเอาใจหยุด ถ้าใจไม่หยุดเข้าทางมรรคไม่ได้ เมื่อไปทางมรรคไม่ได้ ผลก็ไม่ได้
เหมือนกัน”
หลวงพ่อวัดปากน้ำเล่าเรื่องบวชสามเณร
เมื่อวานนี้บวชสามเณรองค์หนึ่ง พอใจหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้น ไปตลอดทีเดียว ทางมรรคผล
ทำใจให้หยุด เอาผมมาบ่อยหนึ่งที่โกนแต่เมื่อบวชนั้น ให้น้อมเข้าจมูกขวา ตัวอยู่ศูนย์กลางดวงธรรม
ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ กลางตัวเจ้านาค เห็นผมก็จำได้ว่า โคนไปทางตะวันออก ปลายไปทางตะวันตก
ผมมีคู่กลาง ถามว่าล้มไปทางซ้ายหรือขวา เจ้านาคว่าไม่ล้ม โคนตั้งขึ้นมาด้วย เอาใจหยุดที่โค้ง
ประเดี๋ยวผมแปรสีถูกส่วนเป็นดวงใสเท่าหัวแม่มือ ใจหยุดนิ่ง กลางของกลาง เข้าถึงดวงปฐมมรรค ศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด นั่งเหมือนกายมนุษย์ ถูกส่วน
เข้าถึงกายต่างๆ จนถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียด
“นี่วานนี้ได้สอนเจ้านาคให้ถึงนี้ พอบวชเณรเสร็จแล้วไปตามญาติ ไป
นิพพานก็ได้ ไปโลกันต์ก็ได้ พวกพ้องไปตายอยู่ที่ไหน ไปตามเอารับส่วนบุญเสีย
ด้วย ตากับยายทั้งสองคนไปตามมาและเห็น ฝ่ายพระบวชใหม่ก็เห็นด้วย นี่ทางพุทธ
ศาสนาความจริงเป็นอย่างนี้”
นี่แหละ เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา หนทางหมดจดวิเศษ
หมดจดวิเศษ กว้างขวางนัก ได้แก่ทางปฐมมรรค มรรคจิตมรรคปัญญา โคตรภู โสดา สกทาคา
อนาคา อรหัต ทางมรรค ทางผล ทางศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ทางอื่นไม่มี
“ที่จะเข้าไปทางนี้เพราะเห็นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรม
ทั้งหลาย ไม่ใช่ตัว ก็ตกอกตกใจหาหนทางไปทางนี้ ถูกมรรคผลนิพพานทีเดียว”
“เพราะฉะนั้นต้องฟังจริงๆ ตั้งใจจริงๆ ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ไม่ใช่เป็นง่าย
เป็นของยากนัก ผู้แสดงก็ตั้งอกตั้งใจแสดง ถ้าผู้ฟังไม่ตั้งใจฟัง ก็ขี้เกียจ เดี๋ยวก็
เลิกเสียเท่านั้น เข้าขันกับพานมันก็รับกันเท่านั้น นี่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ผู้แสดง
ก็ได้ ผู้รับก็ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าว่าพูดเสีย ผู้แสดงก็สะดุดใจเสีย ก็หยุดเสีย
ไม่แสดง ก็เสียทั้งสองฝ่าย เป็นฝ่ายดำไป ไม่ใช่ฝ่ายขาว”