สาระสำคัญพระธรรมเทศนา ๖๙ กัณฑ์หลวงปู่วัดปากน้ำ กัณฑ์ที่ ๑๑-๓๐ หน้า 23
หน้าที่ 23 / 67

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงสาระสำคัญของพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับสมาธิในพุทธศาสนา โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสละอารมณ์และการเข้าถึงฌาน ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของจิตได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้พูดถึงคุณลักษณะของกายมนุษย์ละเอียด และการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเมื่อเข้าสู่ฌาน การปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมาธิจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติประสบกับความสงบและความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นหนทางในการเข้าถึงธรรมะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเป็นรูปธรรม

หัวข้อประเด็น

-สมาธิในพุทธศาสนา
-การสละอารมณ์
-ฌานและการเข้าถึงจิต
-กายมนุษย์ละเอียด
-หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

ข้อความต้นฉบับในหน้า

64 สาระสำคัญพระธรรมเทศนา “เมื่อสละอารมณ์ได้ ในทางปฏิบัติไม่เกี่ยวด้วยอารมณ์เลย ใจหลุดจาก อารมณ์เหมือนอะไร เหมือนไข่แดงกับไข่ขาวอยู่ด้วยกันจริงๆ แต่ว่าไม่เกี่ยวกัน ไข่แดงมีเยื่อหุ้มอยู่นิดหนึ่งบางๆ ไม่เกี่ยวกับไข่ขาวด้วย ไข่ขาวหุ้มอยู่ข้างนอกไม่ ติดกัน รสชาติของไข่แดงก็รสหนึ่ง รสชาติของไข่ขาวก็รสหนึ่ง ไม่เข้ากัน อยู่ คนละทาง เห็นปรากฏทีเดียว เห็นที่ไหน อยู่ที่ไหน จึงเป็นทางปฏิบัติ เห็นปรากฏชัด อยู่ในกลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่” พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ตาของกายมนุษย์ละเอียด ก็เห็นรู้ว่าดวงจิตของมนุษย์นั้น เวลานี้ไม่เกี่ยวด้วยอารมณ์ทั้ง 5 นิ่งแน่นอนอยู่กับดวงจิตไม่คลาดเคลื่อน ดวงจิตนั้นก็ซ้อนอยู่กับดวงจำ ดวงเห็น ดวงวิญญาณก็ซ้อนในดวงจิต เป็นจุดเดียวกัน เรียกว่า ถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง (เอกคคตา) ไม่ มีเขยื้อน เหมือนน้ำที่ใส่ไว้ในแก้วตั้งไว้มั่น ไม่มีลมพัดมา เป็นสมาธิเบื้องต่ำโดยปฏิบัติ สมาธิท่านวางหลักมาก ไม่ใช่แต่ปราศจากอารมณ์ถึงความเป็นหนึ่งเท่านี้ มีถึง ๔๐ ยกเป็น ปริยายเบื้องสูง ๘ เหลืออีก ๓๒ เป็นสมาธิฝ่ายนอกพระศาสนา หรือสมาธิข้างนอก คือเห็นข้างนอก แล้วน้อมเข้าไปข้างในได้ “ถ้าสมาธิตรงข้างในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เช่นนี้ละก็ถูกเป้า หมายใจดำพุทธศาสนา” สมาธินอกพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองอนุโลม มี กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา เดียว” ด จตุธาตุววัตถาน ๑ รวมเป็น ๓๒ เป็นสมาธิโดยปริยายเบื้องต่ำ “แต่ว่าสมาธิโดยทางปริยัติไม่เห็น...ถ้าสมาธิในทางปฏิบัติ ผู้ได้ ผู้ถึงเห็นที สมาธิในทางปฏิบัติโดยปริยายเบื้องสูง : อนุสติ ๑๐ เมื่อเข้าถึงฌานที่ ๑ ก็เป็นตัวปฏิเวธแล้ว เข้าถึงฌานที่ ๒ ก็เป็น ปฏิเวธอีก ปรากฏชัดด้วยตา ของตัว เข้าถึงกายไหน ก็เป็นปฏิเวธกายนั้น ใจหยุดนิ่งกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เกิดเป็นฌานขึ้นกลางดวงจิตที่หยุดนั้นโดย นิ่งหนักเข้าๆ พอถูกส่วนเข้า ก็เข้ากลางของหยุดนั้น พอถูกส่วน เป็นดวงผุดขึ้นมา ดวงใหญ่รอบตัว วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ วา (๘ ศอก) หนาคืบหนึ่ง กลมรอบตัว มีกายมนุษย์ละเอียดขึ้นนั่งอยู่กลาง ดวงนั้น ดวงจิตมนุษย์ละเอียด เห็นดวงจิตตัวเอง ก็นิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ละเอียดนั้น พ้นจากกายมนุษย์หยาบแล้ว กายมนุษย์ละเอียด ก็นั่งอยู่กลางดวงฌาน วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ วา (๘ ศอก) กลมรอบตัว เป็นวงเวียนหนาคืบหนึ่ง กายมนุษย์ละเอียด เข้าฌานแล้วจะไปไหนก็คล่องแคล่ว เมื่อเข้าฌานเช่นนั้นแล้วก็คล่องแคล่ว เกิดวิตกว่านี่อะไร ไม่เคยเห็น ตรึกตรอง วิจาร เกิด วิตก คือ ตรวจตรา ดูสีสันวรรณะ รอบเนื้อรอบตัวซ้ายขวา หน้าหลัง เกิดปีติชอบใจ เต็มส่วนปีติ สุข กาย สบายใจ แล้วก็นิ่งเฉย เกิดแต่วิเวก ใจวิเวกนิ่งอยู่กลางดวง เต็มส่วนของฌาน
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More