ข้อความต้นฉบับในหน้า
กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด และกายธรรมโคตรภูหยาบ กายโคตรภูละเอียด
กายธรรมพระโสดาบันหยาบ กายโสดาบันละเอียด กายสกทาคามีหยาบ กายสกิทาคามีละเอียด
กายอนาคามีหยาบ กายอนาคามีละเอียด กายธรรมพระอรหัตหยาบ กายธรรมพระอรหัตละเอียด
กายเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นในปัจจุบันชาตินี้ได้หากบุคคลนั้นปฏิบัติธรรมได้ถูกวิธี ก็จะเห็นเป็น
แบบเดียวกันหมดเพราะมีอยู่แล้วในตัวทุกคนซึ่งขึ้นอยู่กับการสั่งสมบุญบารมีมามากน้อยเพียงไร
กายสุดท้าย คือ กายธรรมพระอรหัตของผู้ที่สั่งสมบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้วนี่แหละ จะเป็นผู้
เสวยผลนิพพานสุขอย่างแท้จริง ทั้งในปัจจุบันชาตินี้ และเมื่อกายที่หุ้มอยู่ภายนอกเป็นชั้นๆ ไม่
ว่าจะเป็นกายมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ซึ่งเป็นกายที่เกิดจากตัณหา เมื่อถึงเวลาต้อง
ดับสลายไป กายธรรมอรหัตก็จะถูกอายตนนิพพานดึงดูดเข้าสู่อายตนนิพพาน เสวยนิพพานสุข
อย่างเที่ยงแท้นิรันดร์กาล
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “นิพพานํ ปรม สุข พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง” ซึ่งหมายถึง
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้า ที่เข้านิพพานนั่นเองเป็นสุขอย่างยิ่ง”
แต่ทั้งนี้อย่าพึงเข้าใจว่า คงเป็นเช่นเดียวกันกับอัตตาของพวกเดียรถีย์ หรืออัตตาของพวกพราหมณ์
ซึ่งตั้งลัทธิตามที่คิดอนุมานเอา สมัยต้นกัปถือว่าเป็นชนชั้นล่าง เป็นนักคิด ไม่ใช่นักเพ่งฌาน (อชฌายิกา)
ชอบถือแต่คัมภีร์เที่ยวบอกทางไปพรหมโลก แม้แต่พรหมก็ยังไม่เคยเห็นพรหมที่ตนถือว่าเป็นปรมัตตา
(อัตตาที่ใหญ่ยิ่ง)ของพวกตน เมื่อถูกสืบสวนเอาจึงไม่อาจยืนยันรับรองได้ว่าเคยเห็นเคยเข้าถึงหรือมีผู้เข้าถึง
ดังที่ตรัสว่า
“วาเสฏฐะ - ปาจารย์ แม้คนหนึ่งของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ที่เห็นพรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า”
หลักการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายดังกล่าว จึงเป็นแนวทางในการหาคำตอบได้วิธี
หนึ่งของผู้ใคร่ปฏิบัติเพื่อจะไปรู้ไปเห็นเองเท่านั้น เพราะเป็นสันทิฏฐิกธรรมไม่อาจนำมาชี้ให้ดูได้
สำหรับผู้ที่ชอบวิชาการก็อย่ารีบด่วนคัดค้านเสียทันที เพราะสิ่งที่มีอยู่ในตำราก็เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น
หาได้บอกรายละเอียดทั้งหมดไม่หากใคร่ทราบรายละเอียดที่แท้จริงต้องวางตำราแล้วหันมาปฏิบัติอย่างถูกวิธี
ก็จะรู้เห็นเองเพราะสิ่งนี้มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน
3. นิพพานไม่ถูกปรุงแต่ง เพราะเว้นจากลักษณะอันปัจจัยปรุงแต่ง คือ เว้นจากความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
บุคคลที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คือไม่มีอำนาจ หรือตกอยู่ในอำนาจของคนอื่น ไม่ได้ที่จะทำ
อะไรตามความปรารถนาของตนเอง ย่อมไม่มีความสุขฉันใด สภาพธรรมอะไรก็ตามที่เป็นไปในอำนาจของ
กระบวนธรรมหรืออาศัยธรรมอื่นจึงเกิดขึ้นได้ สภาพธรรมนั้นย่อมเข้าในลักษณะของอนัตตา คือ ไม่เป็นไป
ในอำนาจของตัวเอง แต่เป็นไปในอำนาจของกระบวนธรรมปรุงแต่งขึ้น(ปฏิจจสมุปบาท) แต่สภาพธรรมใด
เตวิชชสูตร, ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค, มก. เล่ม 12 ข้อ 369 หน้า 261.
ป ร โ ล ก วิ ท ย า DOU 165