ข้อความต้นฉบับในหน้า
ยามที่ไม่มีภิกษุ เหลือเพียงสามเณรในประเทศไทย ท่านก็เลือกที่จะชินมินิสก์ภิกษุไทย หรือพม่าเดินทางมาเพื่อทำการอุปสมบทให้ โดยมิได้เลือกที่จะย้อนกลับไปใช้กรอบแบบไตรสาฎกมนต์ ซึ่งเมื่อประกาศใช้ข้อใหม่ในเรื่องใด กฎข้อเดิมของเรื่องนั้นมักจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เช่นเดียวกัน การบวชสมัยด้วยคุรุธรรม ถูกแทนที่ด้วยการบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียว และการบวชจากสงฆ์ฝ่ายเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยการบวชจากสงฆ์ 2 ฝ่าย ดังนั้น กฎการบวชแบบคุรุธรรม หรือ บวชด้วยสงฆ์จากฝ่ายเดียวก็ถือเป็นอันยกเลิกไปแล้ว การที่จะย้อนกลับไปใช้กฎเดิมที่กฎใหม่แทนที่นัน คณะสงฆ์รวบรวมไม่มีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้น นอกจากนี้ จากการพิจารณาจากงานท้ายบทความจะเห็นว่า นอกจากพะวินิของเณรวาทในพระไตรปิฎกแล้ว ก็มีพระวินัยของหนานนิยานิคาย่อม ๆ อาทิ พระวินัยของนิยามหาสังมิณ ก็พระวินัยของนิยามาหิศาลา และพระวินัยของนิยามธรรมภูติ ก็จะว่าต้องบวชในสงฆ์ 2 ฝ่าย ซึ่งพระวินัยที่ทางประเทศก็รับสืบทอดมานั้นก็จากนิยามธรรมภูติ และนิยามมหาสังมิณ ซึ่งถือว่าเป็นนิยายในยุคต้นๆ ดังนั้น การสืบทอดการบวชภิกษุนี้ในยุคปัจจุบัน ทั้งในประเทศไทยหรือในต่างชาติ ยังจำเป็นต้องยึดหลักการบวชภิกษ์จากสงฆ์ 2 ฝ่าย ตามพระวินัยของนิยามธรรมภูติที่ ตัดสินปลุ่วว่า การบวชภิกษุนี้สังกาจากสงฆ์ฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะกะทำตามพระวินัยธรรมใดก็ตามในกลุ่มประเทศของพุทธศาสนาหายาน หรือแม้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นพุทธราวกับตามมือเป็นการขัดกับพระวินัยที่ตนปฏิบัติ
นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นอีกที่กิฐนีย่อมจำเป็นต้องอาศัยกิฐนัยสูงมีจากในพระวินัยเซียมได้มีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า กิฐนัยสงฆ์ยังต้องอาศัยกิฐนัยสูงในเรื่องที่นอกเหนือจากกฎธรรม 8 ซึ่งเหตุการณ์แรก คือ ครั้งหนึ่งที่มีการวิวาทกันในหมู่ภิกษุสมูรณ์ทางไม่สามารถระงับอธิษฐานได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุช่วย