ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมา วรสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ฉบับที่ 1 ปี 2559 146
ยิ่งไปกว่านั้น หากดูตามตรรกะการเรียง น่าจะเป็นว่า ครุธรรมได้บัญญัติเกี่ยวกับการ
เป็นสิกขมาน 2 ปี Con ฯบ้างเป็นกฤษฎี แล้วแต่ผู้ไม่ปฏิบัติตาม ให้บรรจากส์ตรองตั้งครร
และแม่ลูกอ่อน ดังกล่าวถึงในสิกขามหมดปาจิตติยี่ข้อ 61-62 ซึ่งบัญญัติสิกขาม
กำหนดโทษผู้บวดให้แก่ผู้บวดไม่ได้เป็นสิกขมาตาม 2 ปี ปาฏิสิกขาบทข้อ 63 และเมื่อบัญญัติ
อนุญาตให้บวชสตรีอายุมากกว่า 12 ปี มีสาสมัครแล้ว ในข้อที่ 65 ก็มีวาบัญญัติอีกรั้ง
ว่าสตรีที่มีสามีแล้วและมีอายุมากกว่า 12 ปี เมื่อจะบวชเป็นกิจนามา 2 ปีในข้อที่ 66 และเมื่อบัญญัติอนุญาตให้บวชสตรีใดอายุมากกว่า 20 ปี ในสิกขาม
ที่ 71 ก็การบัญญัติย้ำว่าสตรีมีอายุมากกว่า 20 ปี เมื่อบวชเป็นกิจนามต้องเป็นสิกขา- มานก่อน 2 ปี อีกครั้งในปัจจิตติยี่ข้อที่ 72
นอกจากนี้ หากพิจารณาพระวินัยปาจิตตียี่ข้อที่ 63 เกิดจากครั้งนั้นกิจนีย์ทั้งหลายพากันบวดสิกขามานา ผู้มได้คบาในธรรม 6 ประการตลอด 2 ปี สิกขามานา
นั้นจึงเป็นคนเฉลาม ไม่ลดละ ไม่สิ่งที่ควรหรือไม่ควร บรรดากิจนีี่ที่เป็นผู้มก่านอ ยงฯ พากันดำหนิ ประมาณ โพธนะ82
จากเรื่องราวข้างต้นทำให้เห็นว่า “ภิญญาที่มักน้อยเป็นผู้ทักษ์วา” แสดงว่าสิ่งนี้เป็นที่รู้กันในสมุฏฐานว “ควรทำ” คือลกิจที่จะแบว ต้องเป็นสิกขามนา 2 ก่อน แต่ในเมื่อกิจนีๆผู้ไม่มก่น้อยไม่ทำตาม จึงทักท้วงเหตุการณ์นี้เป็นการยืนยันว่าข้อบัญญัติข้อที่ 6 ของครูธรรม 8 มีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถ้าหากไม่มี ภิกษุองค์อะอ้างเหตุผลมาทั้งหลาย หากเดิมที่ไม่มีกิจนีี่ข้อที่ 6 กิจนีี่ควรทักท้วงแค่ว่า ทำเป็นกิจนามผู้บวดใหม่ถึงไม่ถึงเวลา ไม่สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ไม่านจะกล่าวอ้างถึงการเป็นสิกขมาต 2 ปี หรือแนวว่า “ชาวบ้านหรือต้นหลายโพนทะนา” เพราะการกระทำที่พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติหามาก่อน แต่หากมีชาวบ้านโพนทะนา ก็เป็นเหตุให้พระองค์ทรงนำมา
บัญญัติ เช่น การบวชให้สตรีตั้งครรภ์ หรือสิกขาที่มลูกอ่อน จุดสังเกตว่าใครเป็นผู้โพนทะนา นั้นสามารถบอกได้ว่า สิ่งที่บัญญัติสนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจาเคยบัญญัติไว้