ข้อความต้นฉบับในหน้า
แล้วทรงให้พระราชาในแคว้นนั้นๆ ปกครองแคว้นของตนดังเดิม แล้วก็ทรงเสด็จไปปราบปราม
และให้โอวาทพระราชาในทิศอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้ จนครบทั่วทั้งพระราชอาณาเขต จากโอวาทที่ให้แก่
พระราชาแคว้นต่างๆ จะเห็นว่าก็คือ ศีล 5 ในปัจจุบันนี้ ดังนั้นศีล 5 จึงไม่ใช่ของใหม่ เป็นของที่มี
คู่โลก มีมาก่อนพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น แต่เป็นธรรมเนียมของ
พระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้นในโลก จะเป็นพระองค์ใดก็ตาม พระองค์จะตรัส
โอวาทสั่งสอนให้มนุษย์รักษาศีล 5 และเมื่อมนุษย์ในยุคสมัยใดรักษาศีล 5 ยุคสมัยนั้นก็จะมีแต่ความสงบสุข
ไม่มีการเบียดเบียนกันและกันเกิดขึ้น
พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ต่างๆ ที่สืบทอดราชสมบัติ ทรงกระทำเช่นนี้ทุกพระองค์เรื่อยมา
จนกระทั่งพระองค์ที่ 7 เมื่อทรงเห็นว่า จักรแก้วเคลื่อนจากที่จึงเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต และ
ทรงตรัสให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ประพฤติจักกวัตติวัตร ครั้นเมื่อผนวชได้ 7 วัน จักรแก้วก็
อันตรธานหายไป เมื่อพระราชโอรสซึ่งสืบราชสมบัติต่อมานั้นทราบ แม้ว่าจะทรงเสียพระทัย ก็ไม่เสด็จไป
เข้าเฝ้าฤๅษีผู้เป็นพระราชบิดา เพื่อทูลถามถึงจักกวัตติวัตร แต่ทรงปกครองแว่นแคว้นตามมติของพระองค์
5.4 ความเสื่อมปรากฏในสังคมมนุษย์
เมื่อพระองค์ทรงปกครองประชาราษฎร์ตามมติของพระองค์ ความเจริญจึงไม่ปรากฏเหมือนครั้ง
พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ก่อนๆ เหล่าเสนาอำมาตย์ จึงกราบทูลถึงเหตุที่เกิดขึ้น และแนะนำให้พระองค์
ตรัสถามจักกวัตติวัตรจากท่านต่างๆ ที่ทรงจำจักกวัตติวัตรได้ พระองค์สดับแล้วจึงให้ประชุม
ท่านที่ทรงจำได้ทั้งหลายเหล่านั้นแล้วตรัสถามถึงจักกวัตติวัตร
เมื่อทรงทราบจักกวัตติวัตรแล้ว ไม่ทรงนำมาใช้ปฏิบัติทุกข้อ ทรงนำมาเพียงบางประการเท่านั้น
โดยทรงจัดให้มีการรักษาป้องกันอันชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ที่ไม่มีทรัพย์ เมื่อไม่มีการ
พระราชทานทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์ จึงเกิดความขัดสนขึ้นอย่างแพร่หลาย ครั้นความขัดสนเกิดขึ้นเช่นนั้น
จึงเกิดมีการขโมยทรัพย์สินกันขึ้น เมื่อผู้ที่เป็นขโมยถูกจับได้และถูกสอบถามก็ตอบว่าที่ทำอย่างนั้นเพราะไม่มี
สิ่งใดเลี้ยงชีพ เมื่อพระราชาสดับดังนั้น จึงทรงพระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้เป็นขโมยนั้น เพื่อนำไปเลี้ยงชีวิต
และประกอบการงาน
เมื่อชนทั้งหลายทราบว่า ผู้เป็นขโมยได้รับพระราชทานทรัพย์ จึงพากันขโมยทรัพย์ของผู้อื่น
อย่างแพร่หลายด้วยปรารถนาจะได้รับพระราชทานทรัพย์ พระราชาทรงพิจารณาว่าหากจะพระราชทาน
ทรัพย์แก่ผู้ขโมยต่อไป จะทำให้การลักขโมยแพร่ระบาดยิ่งขึ้น จึงรับสั่งให้ลงโทษผู้ที่เป็นขโมยเหล่านั้น
ด้วยการโกนศีรษะ มัดพาไปตามท้องถนน แล้วตัดศีรษะเสียบประจาน
เมื่อพวกโจรทราบว่า พระราชาลงโทษผู้ที่เป็นขโมยด้วยการประหารชีวิต จึงจัดทำอาวุธ ของมีคม
ความเสื่อ
108 DOU บ ท ที่ 5 ค ว า ม เ สื่ อ ม ข อ ง จั ก ร ว า ล