ธาตุทั้งหลายเป็นไตรลักษณ์ GL 101 จักรวาลวิทยา หน้า 47
หน้าที่ 47 / 184

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงไตรลักษณ์ของธาตุทั้งหลายในพระพุทธศาสนา โดยระบุว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดจากการรวมตัวของธาตุหก ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช วาโย อากาส และวิญญาณ ธาตุเหล่านี้ไม่สามารถถือเป็นตัวตนที่มั่นคงได้ เมื่อสิ่งต่างๆ สลายไปตามเหตุปัจจัย จะต้องเห็นว่าไม่ควรยึดติดในวัตถุหรือความเป็นตัวตน เพื่อให้หลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นและสามารถข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้.

หัวข้อประเด็น

- ธาตุทั้งหก
- ไตรลักษณ์
- ความไม่เที่ยง
- การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
- แนวคิดพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

2.2.4 ธาตุทั้งหลายเป็นไตรลักษณ์ จากบทเรียนที่ผ่านมาในบทนี้ ทำให้เราเห็นว่า สิ่งต่างๆ มีธาตุเป็นที่สุด คือ ถ้าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หากแยกออกแล้วก็เป็นเพียงการประชุมรวมกันของธาตุ 6 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ สิ่งอื่นก็เช่นกันเมื่อแยกออกแล้วล้วนประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งหลาย เว้นแต่เพียงวิญญาณธาตุเท่านั้น และหากว่ามนุษย์หรือสัตว์ตายแล้วก็มีสภาพไม่ต่างจากสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย ดังนั้น เราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดในโลก เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมั่นคงถาวรได้ตลอดไป ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งย่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย ธาตุต่างๆ จะคืนสู่สภาพเดิมของมัน เป็นต้นว่า ร่างกายของมนุษย์เมื่อตายแล้ว ส่วนต่างๆ ก็เสื่อมสลายไปตามอำนาจเดิมของธาตุ กลับกลายเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ กระจัดกระจายแตกแยกออกจากกัน มิได้รวมอยู่ดังเดิม ร่างกายของคนที่ตายแล้วจึงไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงถึงธาตุต่างๆ แล้ว จึงตรัสสอนว่า ให้เห็นธาตุ ทั้งหลายด้วยปัญญาตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ที่เป็นสังขารธรรมเกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ยังตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ที่แม้จะเป็นของเรา หรืออยู่ในครอบครองของเรา หรือแม้ตัวเราเอง แต่ก็ไม่ใช่ ของเราไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อเห็นความเป็นจริงอย่างนี้ ก็จะทำให้เบื่อหน่ายในธาตุทั้งหลาย (ที่ประชุมกันขึ้นเป็นสิ่งต่างๆ) และทำให้คลายกำหนัดคือไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ เพราะถ้าหากว่าไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงของธาตุทั้งหลายแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็ยังคงมีความ ผูกพันยินดีในธาตุทั้งหลาย (เพราะธาตุนำมาทั้งความสุขและความทุกข์) จึงไม่สามารถพ้นออกจากโลก คือวัฏสงสารได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ใน โนเจทสูตร ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตราบเท่าที่สัตว์เหล่านี้ยังไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความแช่มชื่น โดย เป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก แห่งธาตุ ทั้ง 4 เหล่านี้เพียงใด สัตว์เหล่านั้นยังสลัดตนออกไม่ได้ พรากออกไม่ได้ ยังไม่หลุดพ้นไปจากโลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก และจากหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีใจข้ามพ้น จาก แดนกิเลสและวัฏฏะไม่ได้เพียงนั้น ก็เมื่อสัตว์เหล่านี้ได้ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความแช่มชื่นโดย เป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออก แห่งธาตุ 4 เหล่านี้ เมื่อนั้น ย่อมสลัดตนออกได้ พรากออกได้ หลุดพ้นจากโลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก และจาก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ จึงได้มีใจข้ามพ้นจากแดนกิเลสและวัฏฏะอยู่ ดังนี้” 1 โนเจทสูตร, สังยุตตนิกาย นิทานวรรค, มก. เล่ม 26 ข้อ 409 หน้า 497-498. บ ท ที่ 2 อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง จั ก ร ว า ล DOU 37
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More