ข้อความต้นฉบับในหน้า
๔๘
ตามธรรมเนียมของปู่ย่าตายาย ใครจะบวชในช่วงเข้าพรรษา
นี้ ซึ่งที่วัดจะเริ่มบวชพระประมาณเดือนหก เดือนเจ็ดของไทย หรือ
ประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เขาจะมาอยู่วัดตั้งแต่เกี่ยวข้าว
เสร็จ คือประมาณเดือนยี่ หรือช่วงเดือนมกราคมเป็นต้นไป
ธรรมเนียมนี้ดีมาก โบราณคิดเอาไว้เพื่อให้คนจะบวชมา
เตรียมตัวบวช ตั้งแต่ให้เขามาหัดสวดมนต์ หัดให้พรให้คล่อง ให้เขา
มารู้จักธรรมเนียมของวัด และที่สำคัญที่สุด เพื่อให้เจ้าอาวาสที่
ปกครองวัดกับพระประจําจะได้ช่วยกันดูว่า ในบรรดาว่าที่พระจะบวช
ใหม่นี้ มีใครบ้างที่ควรจะรับมาบวช หรือ
มีใครบ้างที่เกเรเกินไป ไม่ควรจะรับมาบวช
หรือไม่เกเรหรอก แต่ว่าเป็นคนใบ้บ้า
ก่อนจะรับใครเข้า
มาอยู่ในหมู่คณะ
ปัญญาอ่อนเกินที่จะสอนได้ ขัดกับพระวินัย
ต้องช่วยกันดู
เรื่องการบวช จะได้ไม่พลาดไปรับเข้ามา
อย่าเอาเมตตานําหน้า
ให้เอาอุเบกขานําหน้า
แล้วถ้าใครเขาจะเคืองก็ไม่ว่า ดีกว่าหลง
เข้ามาทำความลำบากให้แก่วัด
เพราะฉะนั้น ในการรับพระเข้ามาบวช ซึ่งก็จะมีบางส่วนที่
กลายมาเป็นพระประจำในวันข้างหน้า พระทั้งวัด ไม่เฉพาะเจ้าอาวาส
ถ้ารักจะทำงานใหญ่ ก่อนจะรับใครเข้ามาอยู่ในหมู่คณะต้องช่วยกันดู
อย่าเอาเมตตานําหน้า ให้เอาอุเบกขานาหน้า คือว่ากันไปตามกฎ
ระเบียบ ตามพระวินัย ถ้าดูแล้วไม่ชอบมาพากลต้องใจแข็งเข้าไว้
อย่ารับ ถ้าไปใจอ่อนแล้ว ความยุ่งยาก เสียหาย เดือดร้อนของวัด
จะตามมาอย่างยากจะสิ้นสุด
อย่าว่าแต่เรื่องการรับคนเลย จะยกตัวอย่างให้ชัดๆ เมื่อตอน
หลวงพ่อสร้างวัดใหม่ๆ ก็มีประสบการณ์เรื่อง “อย่าเอาเมตตานำหน้า
ให้เอาอุเบกขาน่าหน้า"
บุคคลเป็น สบาย