ข้อความต้นฉบับในหน้า
๕๔
ถ้าทำอย่างที่ว่านี้ ก็เป็นการบังคับพ่อแม่เขาด้วยว่าจะต้อง
ขวนขวายดูแลลูกพอสมควร ไม่ใช่ตัดหางไล่ส่งปล่อยวัดอะไรทำนองนี้
เรื่องมีอะไรที่ไม่เอาก็มาปล่อยวัดนี้มีข้อคิด ยกตัวอย่าง เวลา
เจ้าของเขามีหมาสวยๆ เลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน ใครขอก็ไม่ให้ ใครซื้อก็ไม่
ขาย พอขี้เรื้อนกินหมา รักษาไม่หาย เอามาปล่อยวัด บางบ้านมีแมว
สวยๆ เลี้ยงเอาไว้ ทั้งเจ้าสีสวาด เจ้าสามสี พอมันตาแฉะ ขาหัก
รักษาไม่หาย เอามาปล่อยวัด บางที่เลี้ยงหมูไว้ หมูเกิดไม่สบายขาย
เจ๊กไม่ได้ เอามาปล่อยวัด เลยกลายเป็นว่าอะไรที่ใช้ไม่ได้เอามาปล่อยวัด
วัดเลยกลายเป็นกองขยะ แม้ที่สุด มีลูกให้เลี้ยง มันก็เลี้ยงยาก ส่ง
ให้มันเรียน มันก็หนีโรงเรียน ส่งให้ไปทำงานมันก็ทำเจ๊ง ถ้าอย่างนั้น
ให้มันมีเมีย เมียก็ไล่ส่งออกจากบ้าน แล้วก็ลงมติว่าเอ็งเอาดีไม่ได้
แล้วไปบวชเถอะ เป็นอันว่าอะไรที่คัดทิ้งเอามาไว้วัด ตั้งแต่หมาคัดทิ้ง
แมวคัดทิ้ง หมูคัดทิ้ง คนก็คัดทิ้ง แล้ววัดจะเจริญได้อย่างไร
ถ้าไม่คิดคน เดี่ยว
ก็จะเอาตัวแสบเข้า
มาในวัด นั่นแหละ
คือคบคนพาล
การรับคนเข้ามาอยู่วัดต้องคัดกัน ถ้าใครรับ
คนเข้ามาแล้วไม่คัด เรียกว่าตบหน้าตัวเอง
อย่างแรง เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้
หลักเอาไว้ในมงคลชีวิตข้อที่
ว่า อเสวนา จ
พาลานัง ไม่คบคนพาล ถ้าไม่คัดคน เดี๋ยวก็
จะเอาตัวแสบเข้ามาในวัด นั่นแหละคือคบคนพาล
ตั้งแต่ต้นแล้ว แล้วถ้าวัดเรามีแต่ตัวแสบๆ คนดีเขาก็ไม่มา วัดเราพัง
พราะฉะนั้น เราลองทดสอบเสียก่อนในขั้นต้น ใครพอมีแวว
แล้วจึงค่อยรับมาเป็นเด็กวัด ถ้าอย่างนี้ก็จะไม่หนักแรงที่วัดของเรา
จนเกินไป แล้วก็ยังมีแววว่าเราจะฝึกให้เขาได้ดี สามารถเติบโตมา
เป็นกำลังพระพุทธศาสนาต่อไปข้างหน้าได้อีกด้วย ถ้าเราทำกันอย่างนี้
วัดก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันสร้างความเจริญให้แก่วัด
บุคคลเป็นที่สบาย