ข้อความต้นฉบับในหน้า
เมื่อก่อนตอนที่สร้างวัดใหม่ๆ หลวงพ่อก็ใจดีมีเมตตานำหน้า เวลา
มีเศษอาหารก็เอามาเลี้ยงสุนัข ตอนแรกๆก็มีอยู่ตัวสองตัว ก็เลี้ยงกัน
อย่างดี มันเลยแห่กันมาตั้งสิบยี่สิบตัว คราวนี้จะทำอย่างไรดี บางพวก
พอมันออกลูก มันก็ดุ เด็กวิ่งเล่นในวัด มันก็ไล่กัด นี่เป็นพวกที่หนึ่ง
สุนัขพวกที่สอง ไม่ได้ออกลูกออกเต้า แต่รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ
พอเราเดินตรวจวัดตอนกลางคืนสักสี่ห้าทุ่ม มันจะรุมกินโต๊ะเข้าให้อีกแล้ว
สุนัขพวกที่สาม พวกนี้ไม่ดุ แต่ช่างประจบ โยมมานั่งหลับตา
ทำภาวนา มานั่งเบียดนอนเบียด แถมเป็นขี้เรื้อนหึง โยมลืมตาขึ้นมา
ร้องยี้ เจ้าขี้เรื้อนมานอนเบียดอยู่ข้างๆ นี้เอง บางตัวหนักข้อกว่านั้น
โยมนั่งหลับตาท่าภาวนาอยู่ มันเดินมาเลียปากเขาแผล็บๆ เลย ถ้า
อย่างนี้นี่เราเดือดร้อนเสียแล้ว
ถ้าหนักยิ่งกว่านั้น บางวัดโดนมาแล้ว มันไปกัดลูกเขา พ่อเขา
คว้าปืนมาเลย เขาบอกเขาไม่รู้หรอกเจ้าสุนัขตัวนี้ มันเป็นโรคพิษ
สุนัขบ้าหรือไม่บ้า ถ้าเกิดมันเป็นบ้า ลูกเขาจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้น
มีทางเดียวที่จะรู้ว่าสุนัขบ้าหรือไม่บ้า คือต้องเอาหัวสุนัขไปให้สถาน
เสาวภาพิสูจน์ เขาคว้าปืนมายิง ใครห้ามก็ไม่ได้ เขาบอกเพื่อชีวิตลูก
เขา เพราะใครก็รับประกันไม่ได้ว่าสุนัขมันจะบ้าหรือไม่บ้า
ตั้งแต่นั้นมา เรื่องเลี้ยงสุนัขในวัดไม่ต้องพูดกัน เราวางอุเบกขา
อย่าเลี้ยงเลย เพราะฉะนั้น ในตอนนั้นเศษอาหารมีเท่าไรฝังทิ้งหมด
ไม่ให้กิน ถ้าสุนัขเข้ามากวน ก็ตักไปปล่อยต่ออีก ยอมเสียค่ารถวิ่ง
ไปห่างวัดห้าสิบเจ็ดสิบกิโลเมตร วิ่งผ่านตลาดได้ด้วยยิ่งดี แล้วก็
ปล่อยเอามันไปกลางทุ่งนั่นแหละ แล้วมันจะไปไหนก็เรื่องของมัน
เพราะเดี๋ยวมันได้กลิ่นตลาด สุนัขมันก็ไปตามกลิ่นเองตามธรรมชาติ
ของมัน ช่วงนั้นชาวบ้านเขาก็เอาไปลืออยู่พักใหญ่ว่า พระวัดนี้จับ
สุนัขมาแกงกินหมด เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขาเข้าใจผิด แล้วชาวบ้าน
การแบ่งกลุ่มคนในวัด
๔๙