ข้อความต้นฉบับในหน้า
บางทีตัวเบาเหมือนจะลอยไป พอตัวลอยนี่อาการอย่างนี้
เราไม่เคยเจอ บางคนกลัว เอามือจับอาสนะซะแน่น เอามือ
ควานหาพื้น หรือบางทีลืมตา อย่างนั้นก็ไม่ถูกหลักวิชชา บางที
ตัวลอยจากพื้นขึ้นไปจริง ๆ ก็มี แต่ว่าเป็นบางท่าน ลอยขึ้น
ไป เขาเรียกว่า อุพเพงคาปิติ” ก็เฉย ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นิ่ง ๆ
บางทีน้ำตาไหลก็แปลกใจ เอ๊ะ เราก็ไม่ได้กลุ้มใจนี่ ทำไมน้ำตา
มันไหล นั่นคือน้ำตาเย็นเกิดจากความปีติที่เราเอาชนะนิวรณ์ได้ใน
ระดับหนึ่ง
อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกับบางคนนะ ไม่ใช่ทุกคน
เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นอย่างนี้ หรือนอกเหนือจากนี้ให้ท่า
เฉย ๆ เพราะเรามุ่งไปที่หยุดกับนิ่ง
อาการเหล่านี้ก็คือเครื่องบ่งบอกว่า เราฝึกก้าวหน้าขึ้น เราเริ่ม
มีสมาธิอ่อน ๆ ขึ้นมาแล้ว เหมือนเริ่มเหยียบฌานของสมาธิ อยู่
ขอบ ๆ กันแล้วล่ะ ทีนี้เราก็ยังนิ่งอย่างเดิมไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวความมืด
นั้นก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้น บางคนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ ใส ๆ เหมือนดวงดาว
ในอากาศ ที่เราเคยเห็นบนท้องฟ้าในยามราตรี จะเห็นจุดสว่าง
ก็ให้นิ่งอย่างเดียวนะ นิ่ง แล้วก็ทำเฉย ๆ อย่างเดิมนั่นแหละ หรือ
บางทีแสงมันแวบมาจากด้านซ้ายบ้าง ด้านขวาของดวงตาบ้าง ก็ไม่
ต้องไปชำเลืองดู ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้ ทำเฉย ๆ
หรือบางทีเหมือนใครเอาไฟมาส่องหน้า หรือคล้าย ๆ ใครเปิด
ไฟไว้ในห้องทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มนั่งมันมืด อย่าไปลืมตานะ ทำเฉย ๆ หรือ
บางทีมันหล่นวูบลงไป อาจจะทำให้เราผวาบ้างก็ช่างมัน เฉย ๆ
*ปีติโลดโผน รู้สึกกายเบา ใจเบา เหมือนตัวลอยขึ้นไปในอากาศ
๑๔๙ | เฉยในทุกประสบการณ์