ข้อความต้นฉบับในหน้า
แม้ร่างกายท่านจะอาพาธแต่หลวงพ่อท่านไม่เคยทอดทิ้ง
ภาระหน้าที่ของท่าน ยังคงสอนนั่งสมาธิเจริญภาวนา และ
ปฏิบัติกิจภาวนาของท่านเองไปตามปกติ เพราะความที่ท่านมี
จิตใจที่แข็งแกร่ง ช่วงที่ท่านอาพาธท่านก็ชอบลุก นั่ง ยืน เดิน
โดยไม่ต้องมีใครช่วยพยุง เว้นแต่ช่วงอาพาธหนักจนฝืนสัง
ขารไม่ไหวจริงๆ ช่วงที่ท่านอาพาธหนักท่านก็ไม่เคยบ่นหรือ
จู้จี้กับใครๆ
เมื่อท่านอาพาธได้ปีเศษ ท่านได้รับพระราชทานเลื่อน
สมณศักดิ์จากเดิมที่มีราชทินนามว่า “พระมงคลราชมุนี” เป็น
“พระมงคลเทพมุนี” ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นช่วงที่ท่าน
อาพาธหนักแล้ว แต่ท่านก็ฝืนสังขารไปรับพระราชทานพัดยศ
ในพระบรมมหาราชวังด้วยเช่นกัน และในปีเดียวกันนี้ท่าน
ยังได้จัดการฌาปนกิจศพโยมแม่ของท่านด้วย
หลวงพ่อท่านเคยบอกแก่สมเด็จป่าเมื่อครั้งเป็นที่พระ
ธรรมวโรดม (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ว่า อาการอาพาธของท่านครั้งนี้
รักษาไม่หาย เพราะยาที่ฉันอยู่นั้นเข้าไม่ถึงโรค ท่านว่ากรรม
มันบังไว้ โดยท่านได้อุปมาว่า เหมือนมีแผ่นหินมากั้นไว้ไม่ให้
ยาซึมไปกำจัดโรค ซึ่งท่านเองก็รู้ล่วงหน้าและบอกไว้เมื่อ
๕ ปีก่อนแล้ว ช่วงที่อาพาธหนักนั้น ท่านก็ได้รับความเอาใจ
ใส่ดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าท่านทราบว่ารักษาไม่หายแต่ท่านก็
๑๓๗