ข้อความต้นฉบับในหน้า
คิดเรื่องความคุ้มได้คุ้มเสียของส่วนรวมเป็น ไม่คำนวณขาดจนกระทั่ง
ทําให้คุณภาพของงานหย่อน ไม่เผื่อมากจนกระทั่งกลายเป็นความ
ฟุ่มเฟือยเสียหาย มีความซื่อสัตย์ ไม่ยักยอกเอาไว้เพื่อความสะดวก
สบายของตัวเองหรือพรรคพวกตัวเอง
ถ้าที่แห่งใดก็ตามขาดคนที่คุมงบประมาณเป็นแล้วการเงินส่วนรวม
ก็จะมีปัญหาเพราะแผนการเงินมั่วไปหมด ความเสียหายของงาน ความ
หวาดระแวงในการอยู่ร่วมกัน และชื่อเสียงไม่ดีไม่งามก็จะเกิดขึ้นตามมา
ด้วย
คนที่สามารถคุมงบประมาณได้โปร่งใสและเกิดประสิทธิภาพดี
เยี่ยมขนาดนี้ เพราะถูกฝึกให้มีความอดทนต่อความลำบากตรากตรำ
อดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อการกระทบกระทั่ง และอดทนต่อการเย้า
ยวนใจของกิเลสมาก่อน โดยเป็นการฝึกผ่านการใช้สอยปัจจัย ๔ อย่าง
๔
ประหยัดสุดประโยชน์สูง ใช้จ่ายแต่ในสิ่งที่จำเป็น และไม่ตามใจความ
อยากได้อยากฟุ่มเฟือยของตัวเอง
ดังนั้นถ้าลูกของเราได้รับการฝึกความอดทนมาจากที่บ้านส่วนหนึ่ง
และได้เห็นแบบอย่างจากบุคคลที่คุมงบประมาณของส่วนรวมได้ดีเช่นนี้
เขาจะกลายเป็นคนที่รู้คุณค่าของความอดทน เห็นประโยชน์ของการ
วางแผนใช้จ่าย รู้จักใช้ข้าวของด้วยความคุ้มค่า และอดทนต่อความเย้า
ยวนใจในสิ่งที่เป็นโทษได้ดี และจะส่งผลให้เขามีความเก่งในเรื่องการ
วางแผนใช้จ่ายและคุมงบประมาณการทำงานเป็นตามบุคคลต้นแบบไป
ได้ในที่สุด
การที่ลูกซึมซับสิ่งที่ถูกต้อง ๓ เรื่องนี้จากบุคคลแวดล้อมที่ดี
เข้าไปอยู่ประจำใจ ก็จะทำให้เด็กได้รับการถ่ายทอดคุณธรรมความดี
อย่างเต็มที่ และทำให้เขามีความเก่งในการคุมคุณภาพ คุมเวลา คุมงบ
ประมาณ ตามมาในที่สุด และเมื่อเขาลงมือท่าอะไรก็ตาม เขาจะเป็นคน
ที่ทํางานได้มีคุณภาพ ประหยัดเวลา และประหยัดงบประมาณ ซึ่งตรงนี้
คือคุณสมบัติของการเป็นนักบริหาร หรือนักทำงานที่ทุกวงการต้องการ
ตัวไปร่วมงานด้วย และนั่นคือ ความเก่งที่สร้างจากความดีที่สร้างความ
เก่งให้เกิดขึ้นในตัวลูกอย่างอัตโนมัติ โดยมีบุคคลแวดล้อมที่ดีเป็นผู้
ถ่ายทอดให้นั่นเอง
สรุป
การที่พ่อแม่จะสามารถถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ และความ
ดีที่ตนเองมีให้แก่ลูก จนกระทั่งมากพอจะเป็นต้นทุนทางความเก่งและ
ความดีที่ลูกสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกกว้างนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ สิ่ง
สำคัญต้องทำให้ดีที่สุดของการเป็นพ่อแม่ คือ
๑) ต้องหมั่นศึกษาค้นคว้าความรู้ที่จะใช้ในการอบรมสั่งสอน
ลูกให้เป็นคนเก่งและดีอยู่เสมอ จึงจะทันกับพัฒนาการและทันกับ
ปัญหาของลูก
๒) ต้องไม่เปิดโอกาสให้ลูกทำเรื่องผิดศีลธรรม คือ อยู่บ้านก็
ต้องแบ่งเวลาให้การอบรมสั่งสอนลูก ผ่านการใช้สอยปัจจัย ๔ ผ่านการ
ทํางาน ผ่านกิจวัตรประจำวัน เช่น การนอน การตื่น เป็นต้น ลับหลังก็
ฝากฝังครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ช่วยเป็นหูเป็นตา คอยตัก
เตือนบอกกล่าวลูกได้ โดยไม่ต้องเกรงใจ อย่าปล่อยให้เขามีโอกาสเดิน
ทางผิด
ถ้าพ่อแม่ทำสองสิ่งนี้ได้ดี ลูกก็จะมีโอกาสใกล้ชิดกับสิ่งที่ถูกต้อง
มากกว่าจะทำตัวเหลวไหลไปในเรื่องผิดศีลธรรม ลูกย่อมคลุกคลีคุ้นเคย
กับความคิด ค่าพูด การกระทำที่ดีจากพ่อแม่ และบุคคลรอบข้างอยู่เป็น
ปกตินิสัย และหลอมละลายกลายเป็นความเก่ง และความดีที่จะทำให้
เขายืนหยัดในโลกนี้ได้ด้วยตัวเองในที่สุด
ครีม
bikwi