ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อธิบายลำไส้เวทนา อารามยา - หน้า 18
ลงเหละมาแล้ว แต่ผู้คนนำสมมติคำว่ากล้าว่าความเบื่อหน่ายอีก
คือ เรื่องราวหรือการกระทำยังไม่มาถึงส่วนคิด กาล นี้ ท่าน
บัญญัติให้เปล่า "จัก-แล้ว" แต่ถามว่า อาคม ให้เปล่า "จัก
ได้-แล้ว" เช่น อุ. ว่า ภิกขเว สาลี เอกาสากโก ปุยาม มุข
ทาดู อนุปีสุต สพพุทธิ สพพุทธิสาลี สพพุทธิสาลี สพพุทธิสาลี ภิกษุทั้งหมด ถวายพรหมณ
อภิสสต, สพพุทธิอภิสสต; ภิกษุทั้งหมด ถวายพรหมณ
เอกฤาอัญ จักได้อานแล้วเพื่ออนันให้ในสมยามายะรซร์ เขาจัก
ได้แล้วซึ่งหมดด ๑๖ แห่งว่าดังงบปอง, ถาว่าเขาแล้วอาจแล้วเพื่อ
อันในสมยามายะรซร์ เขาจักได้แล้วซึ่งหมดด ๘ แห่งวัดทั้งปวง.
นี้แสดงให้เห็นว่า เรื่องราวได้เสร็จสิ้นมาแล้ว แต่ภายมากกว่านั้น
ถึงอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะเช่นนี้ ประโยคหน้าต้องมีคำปรึกษือ สนะ
(ถ้า) เสมอ เพราะเป็นคำสมมติคำว่า แต่การนั้นก็เป็นไปจริง
ตามที่กล่าวไม่ เพราะผู้นั้นมิได้คั่งถึงกล่าว
วิธีสังเกตกาล
การที่เราจะกำหนดครูได้ว่า กริยาสพท์นี้เป็นกาลอะไร ต้องอาศัย
วิถีตินเป็นหลักสังเกต เพราะกริยาสพท์ประกอบด้วยวิถีตินแต่ละหมวด
ย่อมบงให้ทราบกาต่อไปในตัวด้วย ดังนี้:-
กริยาสพท์ใด ประกอบด้วยวิถีติตัวเดียวในหมวดของ
วิถีตินทั้ง ๓ นี้ คือ วัตตมนา ปัญญมี และ สัตตมี กริยาสพท์นั้น
ย่อมบอก ปัจจุบันกาล
กริยาสพท์ใด ประกอบด้วยวิถีติตัวเดียวในหมวดของ