ข้อความต้นฉบับในหน้า
อาจารย์เสนอทะกะกรมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นบัณฑิต ทุกคนกรมไหว้บำรุงพระองค์ พระองค์เป็นอัสสาม ครองบำข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายดูท่าว่าสักเกล้านิวร ผู้เป็นเจ้แห่งหมู่สัตว์ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเห็นข้อความนี้ จึงกรมทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวกกรม คนมีสติเท่านั้นประเสร็จ พระเจ้าข้า
มโหสถบันติทูลว่า คนโง่จะมีมิตร ก็เป็นทาสของคนมีปัญญา เมื่อกิจการต่าง ๆ เกิดขึ้น คนฉลาดย่อมจัดแจงกิจอันละเอียดได้ คนโง่ย่อมถึงความหลงไหลในกิสนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความนี้ จึงกรมทูลว่า คนมีปัญญานั้นแลประเสริฐ คนโง่ถึงมีฤทธิ์จะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า
แท้จริงสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาเท่านั้น สีรินีที่ใครของคนโง่ เพราะมนุษย์ทั้งหลายยินดีในโกลาสมบัติ ก็ความรู้ของท่านผู้ทั้งหลายใคร ๆ ชังไม่ได้ในกาลไหน ๆ คนมีสร็อยไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาไปได้ไม่ว่าในกาลไหน ๆ
ประเด็นของบทโต้ว่า
การที่ท่านเสนออ้างพระราชาชั้นเป็นหลักในประเด็นที่ยึดถือว่า คนโง่มีทรัพย์เป็นผู้ประเสริฐ เท่ากับหมื่นพระเกียรติพระเจ้าว่าเทหรร และกลับยกพวกว่านี้เป็นอันติมิเป็นการลบล้างอย่างใหญ๋หลง ผิดวิสัยบัดทิติ การที่ท่านเสนอว่าถ้างก็ผิดอาจความเป็นจริง เพราะที่ทรงใช้พระราชทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ตามความต้องการของพระองค์นั้น เป็นวิสัยแห่งพระบริสุทธิ์ มโหสถบันติเลยโว่ว่า ท่านเสนอเป็นคนโง่ ยอมเป็นทาสให้คนฉลาดใช้ คือพระเจ้าว่าเทหรร ที่ทรงมีพระบริสุทธิ์ เมื่อมีพระประสงค์จะบริหารกิจการบ้านเมือง ซึ่งมีพระราชิฤกษาหลากหลายมากมาย ก็ทรงจัดแจงแบ่งไปอย่างละเอียดพอให้คนโง่ มงายไปจนกระทั่งนั้นเป็นผู้มีอํานาจ และกลับมามพระองค์เองอย่างที่ท่านเสนอกล่าวอ้าง จึงแทนที่จะเป็นบุทธ์ที่มีฤทธิ์ กลับเป็นยาพิษซึ่งเจ้าของจำต้องกลืนเข้าไปอย่างขมขื่น และทำร้ายตนเองในที่สุด