ข้อความต้นฉบับในหน้า
4.1.3 หิริโอตตัปปะ ธรรมะคุ้มครองโลก คุ้มตน
หิริ ความละอายแก่ใจ
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป
หิริ คือ ความละอายแก่ใจในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจไม่กล้าทำ
ความชั่ว โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว ธรรมเหล่านี้ท่าน
เรียกว่า ธรรมสำหรับคุ้มครองโลก เพราะย่อมคุ้มครองโลกให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาต
พยาบาทปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น นอกจากนี้ หิริโอตตัปปะยังเป็น
เครื่องเหนี่ยวรั้งห้ามปรามไม่ให้กล้าทำความชั่วลงได้ แม้มีโอกาสที่จะกระทำ เมื่อเข้าใจว่าการที่จะทำ
เป็นความชั่วแล้ว ก็รู้สึกละอาย หวาดหวั่นใจไม่อาจทำลง เพราะถือหิริโอตตัปปะเป็นใหญ่ โลกจึงมีความสุข
และตั้งอยู่ยั่งยืนสืบมา ดังนั้นผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรจะต้องทำคุณธรรมข้อนี้ให้มีให้เป็นขึ้นมาในใจ เพราะในขณะ
ทำหน้าที่กัลยาณมิตรจะทำให้เราสามารถพิชิตเป้าหมายได้อย่างงดงามโดยไม่มีรอยแผลคือบาปอกุศลที่ทำให้
นึกถึงแล้วแหนงใจตนเอง
หิริโอตัปปะบางครั้งท่านเรียกว่า สุกกธรรม เพราะเป็นธรรมฝ่ายกุศลอันเปรียบด้วยสีขาวและเป็นไป
เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต บางครั้งเรียกว่า เทวธรรม เพราะเป็นธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดาหรือให้เป็นผู้
รุ่งเรือง บุคคลเมื่อละจากโลกนี้แล้ว จะเข้าถึงความเป็นเทพในสวรรค์ต้องมีธรรม 2 ประการนี้อยู่ในใจ
4.1.4 ขันติ โสรัจจะ ธรรมะที่จะทำตนให้งดงาม
ขันติ ความอดทน
โสรัจจะ ความเสงี่ยม
ขันติ คือ ความอดทนต่ออารมณ์ ที่ไม่เป็นที่พอใจ (อกนิฏฐารมณ์) ไว้ได้ อด คือ ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ทำให้อด ส่วนทน คือได้ในสิ่งที่ไม่ปรารถนา จึงจำเป็นต้องทน
ความอดทน โดยประเภทมี 4 คือ
1. ทนต่อความลำบากตรากตรำ ได้แก่ ทนต่อการทำงาน ไม่หวั่นหวาดต่อความเหนื่อยยาก หนาว
ร้อน และลมแดด เป็นต้น
2. ทนต่อความเจ็บป่วยไข้ ได้แก่ อดทนต่อทุกขเวทนา อันเกิดมีเพราะความเจ็บไข้มีประการต่างๆ
แม้ที่สุดทนทุกขเวทนาแสนสาหัส ก็ไม่แสดงอาการกระสับกระส่าย
3. ทนความเจ็บใจ ได้แก่ ทนต่อการหมิ่นประมาท ที่ผู้อื่นกล่าวคำเสียดสี หรือกระทบกระทั่งในขณะ
ทํางาน เป็นต้น
ทุกเมื่อ
4. ทนต่ออำนาจกิเลส คือราคะ โทสะ และโมหะที่คุกรุ่นอยู่ในใจของเรา พร้อมที่จะแสดงออกมาได้
52 DOU บทที่ 4 การ ทำ หน้าที่ กัลยาณมิตร ต่อตนเอง