ข้อความต้นฉบับในหน้า
แล้วก็มีการซักถามทบทวนอีกครั้งหนึ่ง จึงจะเข้าใจได้
4. ปทปรมะ ( ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ) หมายถึงผู้ต้องใช้บทบาทมากจึงจะเข้าใจได้
ปทปรมะน่าจะมี 2 ประเภท คือ
4.1 ประเภทสอนไม่ได้เลย คือคนประเภทปัญญาอ่อน ไม่มีทางจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้
4.2 ประเภทมีความเห็นผิดอย่างรุนแรง และยึดถือในความเห็นของตนอย่างเหนียวแน่น
ประเภทนี้พอสอนได้ แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
เปรียบด้วยบัว 4 เหล่า
คน 4 ประเภทนี้อาจจะเปรียบได้ด้วยดอกบัว 4 ประเภท คือ
พวกอุคฆฏิตัญญู เปรียบเหมือนบัวพ้นน้ำแล้ว รอแต่แสงแดดเท่านั้นเมื่อรับแสงแดดจะบานทันที
พวกวิปจิตัญญู เปรียบเหมือนบัวปริ่มน้ำ วันรุ่งขึ้นจะพ้นน้ำ และจะบานเมื่อได้รับแสงแดด
พวกเนยยะ เปรียบเหมือนบัวอยู่ใต้พื้นผิวน้ำ วันต่อๆไปก็จะขึ้นเหนือน้ำ รับแสงแดดแล้วก็บาน
พวกปทปรมะ เปรียบเหมือนบัวที่ยังติดดิน ถ้าไม่ได้รับการประคบประหงมเป็นพิเศษ อาจจะเป็น
ภิกษาแห่งปลาและเต่าได้
7.2 วิธีการสอน 3 แบบ (ปาฏิหาริย์ 3)
พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีสอนคนอยู่ 3 วิธี ท่านเรียกแต่ละวิธีว่า “ปาฏิหาริย์” แปลว่า สิ่งน่าอัศจรรย์
หมายความว่า มีผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะสามารถทำให้คนเกิดความรู้ถึงขั้นวิชชุญาณได้ และมี
การเปลี่ยนแปลงได้ถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคล วิธีสอนทั้ง 3 นั้นคือ
1. อิทธิปาฏิหาริย์ การสอนด้วยการใช้ความสามารถพิเศษ เพื่อปราบคนร้ายๆ ที่ไม่ยอมรับคำ
สอนง่ายๆ ให้สิ้นพยศ เช่น ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้อุรุเวลกัสสปะและบริวาร แสดงฤทธิ์ปราบนาค ยักษ์
เป็นต้น
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ การสอนโดยวิธีดักใจ วิธีนี้พระองค์ทรงใช้กับบุคคลประเภทอุคฆฏิตัญญู
และวิปจิตัญญู
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ การสอนด้วยการบรรยายลำพังพระองค์เดียว หรือการบรรยายแบบ
โต้ตอบสนทนา พระองค์ทรงใช้วิธีนี้กับคนประเภทเนยยะ
เรื่องปาฏิหาริย์ 3 นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนคนทั้งหลายอย่างแน่นอน เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
“พรหมจรรย์ใด ถ้าศาสดาเป็นพระเถระ รู้ราตรีนาน บวชนาน ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ แต่
ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของศาสดานั้น ไม่เป็นเถระ ไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่สามารถเพื่อจะกล่าว
พระสัทธรรมได้โดยชอบ ไม่สามารถเพื่อแสดงธรรมให้มีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทที่เกิดขึ้นแล้วได้ด้วยดี
106 DOU บทที่ 7 พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ การ ทำ หน้าที่ กัลยาณมิตร