ข้อความต้นฉบับในหน้า
นารทพรหมจึงบอกว่า ท่านเป็นพรหม ที่มาคราวนี้ก็จะมาเตือนพระราชาว่า เรื่องการทำความดี
ความชั่วนั้นมีจริง พระราชาตรัสว่า ถ้ามีจริงอย่างนั้นข้าพเจ้าขอยืมทรัพย์ 500 กหาปณะกับท่าน แล้วจะ
ใช้คืนให้ท่าน 1,000 กหาปณะในชาติหน้าก็แล้วกัน พระพรหมบอกว่า หากท่านยืมไปแล้ว คงไม่มีโอกาสคืน
ให้ข้าพเจ้าได้หรอก เพราะว่าท่านมัวประพฤติผิดศีลผิดธรรมอยู่อย่างนี้ เมื่อตกนรกแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้
คืนข้าพเจ้า จากนั้นพระพรหมก็ได้พรรณนาถึงความทุกข์ทรมานในนรกให้พระราชาได้สดับ
พระราชาสดับแล้วสลดพระทัยเกิดความเกรงกลัวจึงขอร้องให้นารทพรหมบอกหนทางไปสวรรค์
ให้แก่พระองค์ พระพรหมจึงแสดงหนทางไปสวรรค์ว่า ถ้าจะพ้นจากนรกได้ต้องทำทาน รักษาศีล และ
เจริญภาวนา มีเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อทำได้อย่างนี้ จึงจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป อาศัย
มหากรุณาของพระพรหมมาช่วยเป็นกัลยาณมิตรให้ในครั้งนั้น ทำให้พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารต่าง
หันกลับมาปกครองประเทศชาติโดยธรรม และหมั่นสั่งสมบุญตามที่ได้รับคำแนะนำ เมื่อละโลกแล้วก็ได้ไป
สู่สุคติโลกสวรรค์
เราจะเห็นว่า การคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตของเรา ผู้คนในโลกนี้มีมากมาย
มีทั้งคนพาลและบัณฑิต มีทั้งมิตรแท้และมิตรเทียม ถ้าเราคบกับใครแล้ว คนๆ นั้นก็มีส่วนในการตัดสินใจให้
ตัวเรา หรือบางครั้งอาจมีอิทธิพลต่อเราเป็นอย่างมากก็ได้ ถ้าปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต ก็ต้องรู้
จักเลือกคบหาสมาคมกับนักปราชญ์บัณฑิต ต้องใช้สติปัญญาเลือกคบแต่คนดี จากนั้นก็ทำตนเป็นกัลยาณมิตร
ให้กับคนอื่น เป็นแสงสว่างให้กับชาวโลก โลกนี้จะได้สว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรมตลอดไป แม้พระอรหันตเถระ
ชื่ออุบาลี ยังได้กล่าวสอนภิกษุผู้บวชใหม่ว่า
“ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา พึงคบหากัลยาณมิตรผู้มีอาชีพบริสุทธิ์
ไม่เกียจคร้าน ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธายังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา จึงเป็นผู้ฉลาดอยู่ในสงฆ์ ศึกษาวินัย
ด้วยอำนาจการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติให้บริบูรณ์ ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา
พึงเป็นผู้ฉลาดในสิ่งควรและไม่ควร ไม่ควรถูกตัณหาครอบงำ”
การที่บุคคลจะพบกับความก้าวหน้าในชีวิต จำเป็นจะต้องคบหากัลยาณมิตร และหากเมื่อพบผู้เป็น
กัลยาณมิตรอย่างนี้ จึงควรที่จะเข้าหา ทำความสนิทสนมคุ้นเคยไว้ เพราะตัวเราเองจะได้มีกัลยาณมิตร
คอยชี้แนะประคับประคองให้อยู่บนเส้นทางของความดีได้
สรุป
นักปราชญ์บัณฑิตผู้เป็นกัลยาณมิตร นอกจากจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเองได้แล้ว ยังเป็นที่พึ่งให้กับ ผู้
อื่นได้อีก เมื่อเกิดมาย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่พ้นจากเมฆหมอกที่มา
บดบัง จะย่างก้าวไปแห่งหนตำบลใดก็ตาม ย่อมเป็นที่ปรารถนาของมหาชน การเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตของทุกๆ
คนล้วนต้องพบเจอกับปัญหาทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ตนเองเกิดมาทำไม มีหน้าที่อย่างไร ก็ยังต้องอาศัย
กัลยาณมิตรผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประคับประคองชีวิตเรา ให้เดินทางไปถึงฝั่งแห่งความสำเร็จ
อุบาลีเถรคาถา, ขุททกนิกาย เถรคาถา, มก. เล่ม 51 ข้อ 317 หน้า 282.
30 DOU บทที่ 2 ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง กั ล ย า ณ มิตร