การสอนแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์ DF 101 การทำหน้าที่กัลยาณมิตรเบื้องต้น หน้า 122
หน้าที่ 122 / 142

สรุปเนื้อหา

การสอนแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์เน้นการบรรยายและแสดงธรรมโดยไม่ต้องใช้อำนาจ พระพุทธเจ้าใช้วิธีนี้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุธรรมโดยเข้าใจพื้นฐานและใจของผู้ฟัง พระองค์พิจารณาอุปนิสัยและภูมิหลังของแต่ละคนเพื่อการสอนที่เหมาะสม และได้เห็นว่าผู้ฟังมีความสามารถในการเข้าใจธรรมะแค่ไหน ก่อนที่จะแสดงธรรม เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพิจารณาจากความแตกต่างของผู้เรียน พระพุทธองค์ได้สอนตามความเหมาะสมและความสัมพันธ์ ซึ่งนำไปสู่การบรรลุผลในมรรคผล

หัวข้อประเด็น

-การสอนตามวิธีอนุสาสนี
-การพิจารณาผู้ฟัง
-การใช้ปัญญาในการสอน
-การปรับวิธีสอนให้เหมาะสม
-พระพุทธเจ้าและการแสดงธรรม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

7.2.3 การสอนแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์ การสอนแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์ หรือการดักใจช่วยแต่อย่างใด ในการสอน เป็นการบรรยายหรือการแสดงแบบธรรมดาโดยไม่ต้องใช้ฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีอนุสาสนี้มากที่สุดและได้ผลดีที่สุด เพราะ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีฤทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระปัญญาธิคุณ คือมีปัญญา เป็นเลิศ ความรู้ทั้งมวลอยู่ในศูนย์กลางธรรมกายอรหัตของพระพุทธองค์ ด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมของ พระองค์นั้น ทำให้ทรงรู้ว่าจะต้องใช้ธรรมะบทใดมาแสดง พร่ำสอนเหล่าสาวกให้ได้บรรลุธรรมตาม ทรงพิจารณาจนรู้จักจริต พระพุทธองค์ทรงพิจารณาถึงภูมิปัญญาและภูมิหลังของผู้ฟัง แล้วก็ทรงปรับปรุงเนื้อหาของเรื่อง ที่จะสอน และวิธีสอนให้เหมาะสมกับคนฟัง ทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักขุ “ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวก สอนให้รู้ได้ง่าย บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปรกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่...” ก่อนทรงแสดงธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบอนาคตของผู้ฟังด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่าใครจะได้บรรลุมรรคผลขั้นไหน ในการสั่งสอนคน พระพุทธองค์มิได้ทรงสอนคนทุกประเภทเท่าเทียมกัน แต่ทรงสอนตามฐานะความสัมพันธ์กับพระองค์ คราวหนึ่งนายบ้านอลิพันธกบุตรได้เข้าไปทูลถามพระองค์ ว่า ถ้าพระพุทธองค์ทรงมีพระทัยเกื้อกูลแก่สัตว์ถ้วนหน้า ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงธรรมโดย เคารพแก่คนบางพวก ไม่ทรงแสดงธรรมโดยเคารพแก่คนบางพวก พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ถ้าเจ้าของนา มีนาอยู่ 3 ประเภท คือ นาดี นาปานกลาง และนาเลว เขาย่อมจะหว่านข้าวในนาดีก่อน พระพุทธองค์ทรง สอนธรรมแก่ภิกษุและภิกษุณีของพระองค์ก่อน ต่อจากนั้นจึงจะสอนพวกอัญญเดียรถีย์ สมณพราหมณ์ และ ปริพาชกเหล่านั้น ในการพิจารณาดูพื้นฐานทางจิตใจของผู้ฟังนั้น บางที่พระองค์ก็ทรงใช้ญาณพิเศษ เครื่อง กำหนดรู้ใจของผู้อื่นเข้าช่วยด้วย ดังเรื่องต่อไปนี้ “ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดใจของบริษัททุกหมู่เหล่าด้วยพระทัยแล้ว ได้ ทรงพิจารณาว่าในบริษัทนี้ ใครหนอแลควรจะรู้แจ้งธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่ง อยู่ในบริษัทนั้น ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัทนี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม...” มหาขันธกะ, พระวินัยปิฎก มหาวรรค, มก. เล่ม 6 ข้อ 32-33. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร, ขุททกนิกาย อุทาน, มก. เล่ม 44 ข้อ 112 หน้า 491-492. บทที่ 7 พ ร ะ ส ม ม า สั ม พุ ท ธ เ า กั บ ก า ร ทำ ห น้ า ที่ กัลยา ณ มิ ต ร DOU 113
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More