ข้อความต้นฉบับในหน้า
6
พี่ เ ณ ร ส อ น น อ ง 3
เราเจอเหตุการณ์อย่างนี้บ่อยๆ ตลอดการอบรมร่วม ๑
เดือน จะว่าสนุกก็สนุก จะว่าทุกข์หรือ ก็ไม่ถึงกับทุกข์ คือลำาบาก
กายแต่รู้สึกเป็นสุขใจ เพราะการอยู่กลดเหมือนกับเราได้อยู่ใน
โลกส่วนตัว แต่ถ้าวันไหนฝนตกก็แย่หน่อย หลวงพี่ท่านต้อง
การทดสอบกำลังใจเรา จึงไม่ยอมให้เข้ากุฏิ เพราะนี่เป็นการฝึก
ด่านแรก คืออาศัยธรรมชาติเป็นบทฝึกความอดทน
คืนหนึ่ง ท่ามกลางความหนาว เย็นที่เงียบสงัด ฝนตกพรำๆ
พี่เณรได้ยินเสียงสะอื้นของเพื่อนที่จำวัดอยู่ข้างๆ พี่เณรลุกขึ้น
คิดอยู่ในใจว่า “เพื่อนคงไม่สบาย” จึงเข้าไปถามว่า “ไม่สบายหรือ
เปล่า” เพื่อนก็บอกเขาไม่ได้เป็นอะไร แล้วร้องไห้ทำไม” พี่เณร
ถามไป เพื่อนก็ตอบสั้นๆ ว่า “ผมคิดถึงบ้าน ผมอยากกลับบ้าน
พี่เณรฟังเสียงที่สั่นพร่า เคล้ากับนํ้าตาของเพื่อนแล้ว พี่
เณรถึงกับนิ่งอึ้ง คำพูดที่จะพูดต่อมันจุกที่คอ ได้แต่คิดในใจว่า
ให้ร้องไห้สักครู่ เดี๋ยวจะไปปลอบ” พอรุ่งขึ้นก็ไปให้กำลังใจ มี
เพื่อนหลายรูปที่แอบร้องไห้ โดยที่หลวงพี่ไม่รู้ ก็ได้แต่ผลัดกัน
ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ช่วงนี้เป็นช่วงวัดกำลังใจ ใครทนได้ต้อง
ถือว่าเป็นนักสู้จริงๆ
พี่เณรก็บอกตัวเองว่า “ทนตั้งแต่วันนี้ วัน ต่อไปจะได้ไม่
ต้องทน แล้วก็กัดฟันทนไป จนทำให้ผ่านช่วงนั้นมาได้ แต่ทว่า
เพื่อนๆ คนแล้วคนเล่า ตัดสินใจขอเลิกการอบรม พากันทยอย
เก็บกลดซักส่งแล้วกลับบ้านไป พี่เณรเห็นครั้งแรก ก็ใจฝ่อเหมือน
กัน บอกกับตัวเองว่า “ขออย่าได้เป็นเราเลย