ข้อความต้นฉบับในหน้า
เอาแต่ประโยค ๙ แต่ไม่คิดว่าเรียนแล้วจะนำมาใช้งานอะไร ตรงนี้เอง
ที่ทำให้บางรูปบวชไปแล้ว พอจบ ๙ ประโยค ก็คิดว่าสุดทางที่เราตั้งใจ
ไว้แล้ว ต่อแต่นี้ก็เริ่มเคว้งคว้าง ในที่สุดก็ล็กหาลาเพศกันไปหลายรูป
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การเรียนธรรมะมีเป้าหมายใหญ่ คือการ
หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย เราเรียนบาลีก็ต้องรู้ไว้ว่าการเรียนจบ
เปรียญธรรม ๙ ประโยคนี้ จะนำมาใช้กำจัดทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้
จะนํามาใช้งานอย่างไร ในที่สุดเราก็จะสึกตามเขาไป หรือแม้ยังไม่สึก
ก็จะอยู่แบบแกว่ง ๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่สมภูมิกับ
ที่ร่ำเรียนมาจนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค
คุณค่าของคนเราขึ้นอยู่กับการตั้งเป้าหมายชีวิต เราเรียนแล้วต้อง
ให้พระศาสนาได้พึ่งพาอาศัย ไม่ใช่เรียนไปก่อนเพื่อจะได้อาศัยพระ
ศาสนาให้มีกินมีใช้ในวันหน้า เรียนแบบนี้ติดหนี้พระศาสนา ติดหนี้
ญาติโยม เราต้องตั้งเป้าหมายไว้เลยว่า เมื่อเรียนจบแล้วจะนำความรู้
บาลีมาใช้เป็นเรี่ยวแรงตอบแทนคุณพระศาสนา จะนำพาตนเองและ
ผองชนให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ สิ่งนี้ต้องฝังใจเป็นเป้าหมายทุกครั้ง
ที่ได้เรียนพระบาลี
อย่าหลง “ลาภสักการะ” จนละทิ้ง “การกำจัดกิเลส”
ในเรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือนไว้ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
แล้วว่า “ลาภสักการะ เป็นกิ่งและใบแห่งการประพฤติพรหมจรรย์”
มหาสาโรปมสูตร, ม. ม. ๑๒/๓๐๗/๓๔๐-๓๔๑ (มจร.)
(๑๒) ชี วิ ต ส ม ณะ (ฉบับมหาปวารณา)
www.kalyanamitra.org